ธนาคารกลางของสหรัฐ หรือเฟดขึ้นดอกเบี้ยทิ้งทวนปีนี้เป็นครั้งที่ 3 ในวันพุธที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
นับว่าเป็นการขึ้นดอกเบี้ยทิ้งทวนของนางจาเน็ต เยลเลน ประธานเฟดที่จะหมดวาระลง โดยนาย Jerome Powell ซึ่งอยู่ในบอร์ดคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดอยู่แล้วจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดแทนเธอในช่วงต้นปีหน้า
ผลของการขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ดอกเบี้ยเฟดขึ้นจาก 1.25% เป็น 1.50% และมีการคาดหมายว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2018 ตามขบวนการที่จะปรับดอกเบี้ยให้กลับคืนสู่สภาพปกติ
นอกจากนี้เฟดประกาศว่า จะเพิ่มยอดลดงบดุลจาก 10,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน เป็น 20,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ด้วยการดึงดอลลาร์กลับออกจากระบบ ผ่านการไม่ถือต่ออายุตราสารหนี้ที่เฟดถือผ่านนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเชิงปริมาณที่ทำมาตั้งแต่หลังวิกฤติการเงินปี 2008
เยลเลนบอกว่า เฟดตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย เพราะคาดการว่าตลาดแรงงานจะยังคงแข็งแรงอยู่ โดยจะมีการจ้างงาน และมีโอกาสมากสำหรับคนทำงานอเมริกันจะได้รับค่าแรงงานที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานออกรายงานว่าเงินเฟ้อ ที่ไม่รวมหมวดอาหารและพลังงานอ่อนตัวลงไปที่ 1.7% ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกันเฟดคาดการว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นจาก 2.1% ที่คาดหมายก่อนหน้านั้นเป็น 2.5%ในปี 2018
นับว่าเยลเลนลงจากหลังเสือได้สง่างามพอสมควร แม้ว่าจะไม่ได้ต่ออายุเป็นประธานเฟดในสมัยที่ 2 เพราะว่าในช่วงระยะเวลาที่เธอทำงานไม่มีวิกฤติการเงิน ตลาดหุ้นบูมมาก เศรษฐกิจพอไปได้ ทำให้เฟดมั่นใจที่จะค่อยๆปรับดอกเบี้ยคืนสู่สภาพปกติ และพร้อมกันนั้นเริ่มที่จะลดงบดุลของตัวเองจากระดับปัจจุบันที่ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ที่เกิดจากการทำคิวอี ก่อนหน้าวิกฤติการเงิน งบดุลเฟดอยู่ที่ 900,000 ล้านดอลลาร์