ลงทุน DCA แล้วอย่าลืม Rebalance
โดย…เสกสรร โตวิวัฒน์ CFP®
ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน
BF Knowledge Center
เดี๋ยวนี้ผู้ลงทุนสนใจทำ DCA กันมากขึ้น เพราะง่าย สะดวก และไม่เสียเวลา เหมาะกับการลงทุนยาวๆ และลงทุนต่อเนื่อง โดยการลงทุน DCA มักนิยมทำกับกองทุนรวม โดยเฉพาะกองทุนหุ้น หรือกองทุนที่ราคาผันผวน เป็นการสร้างวินัยให้กับผู้ลงทุน แต่ก็มีคำถามว่า การทำ DCA เมื่อเลือกกองทุนแล้ว ลงทุนไปแล้ว เราควรติดตามอะไรบ้าง
การลงทุนทุกอย่าง ควรอยู่บนโจทย์ว่าลงทุนไปเพื่ออะไร DCA ก็เช่นกัน โดย DCA เป็นการค่อยๆ สะสมเงินลงทุน เหมาะกับคนวัยทำงาน ที่ยังมีรายได้เข้ามาเรื่อยๆ ก็แบ่งส่วนนั้นมาลงทุน
ส่วนมากจะใช้กับเป้าหมายระยะยาว เช่น เก็บเงินเพื่อเกษียณ ซึ่งเราก็ควรย้อนมาดูว่าแล้วเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน สัดส่วนที่เหมาะสมกับเราควรเป็นเท่าไร
การลงทุนใน DCA ไม่จำเป็นต้องลงกองทุนหุ้นอย่างเดียว ลงหลายกองทุนก็ได้ กองทุนผสมก็ได้ สิ่งที่ควรติดตามคือ เงินลงทุนของเราเมื่อลงทุนนานไปเรื่อยๆ ยังสอดคล้องกับเป้าหมาย ข้อจำกัดและความเสี่ยงทีรับได้หรือไม่
เมื่อถามว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าการลงทุนยังสอดคล้องอยู่ ให้ลองเอาแบบง่ายๆ เรารู้ว่าถ้าอายุยังน้อย มีเวลาลงทุนนาน เสี่ยงได้ ก็ควรให้น้ำหนักกองทุนหุ้น ถ้าเวลาผ่านไป อายุมากใกล้เกษียณแล้วก็ควรลดสัดส่วนหุ้น เน้นความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น หลักการนี้เป็นหลักการทั่วไป ที่เราเอามาใช้กับ DCA ได้
ง่ายๆ คือตอนรับความเสี่ยงได้สูง ก็ DCA กองทุนหุ้น พออายุมากขึ้น แทนที่จะซื้อกองทุนหุ้นกองเดียว ก็กระจายมาลงทุนกองตราสารหนี้ด้วย แบ่งเงินเป็น 2 ก้อน
การซื้อ 2 กองทุนมีหลักการแบ่งอย่างไรนั้น หลักการไม่ตายตัว แต่เน้นว่าเอาให้ง่ายๆ เราทำเองได้ ขอยกตัวอย่าง ลงทุนเดือนละ 2,000 บาท ตอนอายุ 40 ปี จะเกษียณ 60ปี เท่ากับมีเวลาลงทุน 20ปี อาจจะแบ่ง เวลาออกเป็นช่วงละ 5ปี เริ่มต้นรับความเสี่ยงได้เยอะ ก็ลงทุนกองทุนหุ้นเลย 2,000 บาท และทยอยการลงทุนในหุ้นลงทีละ 500 บาท
ถ้าเราทำแบบนี้ผลตอบแทนช่วงหลังๆ ก็จะไม่มากเหมือนช่วงแรกที่ลงทุนหุ้นอย่างเดียว แต่เราจำเป็นต้องทำ เพราะเมื่อเวลาลงทุนเหลือน้อยลง เราเอาเงินเราไปเสี่ยงเต็มๆ ไม่ได้
การประเมินความเสี่ยงและเตรียมการป้องกันไว้ ย่อมดีกว่า เพราะถ้าเกิดความเสียหาย ตลาดหุ้นตก กองทุนติดลบหนักๆ ในปีท้ายๆ เราจะไม่เสียหายมาก
เงินลงทุนช่วงแรกของเราสะสมมาเรื่อยๆ ย่อมมีโอกาสออกดอกออกผล และสร้างผลกำไรให้เราแม้ในช่วงท้ายๆ เราจะลดสัดส่วนหุ้นลง ส่วนที่สะสมมาช่วงแรกๆ ก็มีมูลค่ามากขึ้น ที่จะทำให้เราพอร์ตเราเติบโตได้ โดยที่ไม่เสี่ยงมากเกินกว่าที่เรารับได้