By… วนาลี ตรีสัมพันธ์
PropTech 2.0 เน้นตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
ปัจจุบันเราอยู่ในยุค PropTech 2.0 ที่เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกไม่เพียงแค่การซื้อขาย แต่นวัตกรรมถูกนำมาสอดแทรกในรูปของงานบริการหลังการขาย รวมถึงการพัฒนาซอฟแวร์เพื่อรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัย เช่น ระบบ Home Automation คือ ระบบควบคุมอัตโนมัติภายในบ้านหรืออาคารผ่านระบบเซ็นเซอร์ เช่น การควบคุมแสงสว่าง การควบคุมอุณหภูมิ การควบคุมการเปิดปิดประตูหน้าต่าง
ระบบ Internet of Things เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมช่วยเรื่องการสื่อสารกับอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านผ่านโครงข่ายอินเตอร์เน็ตแบบเรียลไทม์ ทั้งการสั่งงานอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เปิดปิดเครื่องปรับอากาศ รดน้ำต้นไม้ หรือช่วยเตือนเมื่อของใช้ภายในบ้านหมด และสั่งซื้อสินค้าผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้
นอกจากนี้บริษัทอสังหาฯ ยังนำ PropTech มาใช้ในด้านการขายและพัฒนาการให้บริการอื่น เช่น บริษัทชั้นนำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สิงคโปร์อย่าง Capital Land ก็นำเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) มาใช้ เพื่อเชิญชวนลูกค้าให้ไปเที่ยวห้างเปิดใหม่ ทั้งที่ห้างยังสร้างไม่เสร็จ โดยการสวมอุปกรณ์ VR ที่ออกแบบมารองรับระบบดังกล่าว ก็สามารถเข้าถึงบรรยากาศได้เสมือนกับการเดินชมอยู่ในสถานที่จริง
นอกจาก PropTech จะช่วยพัฒนาธุรกิจเดิมแล้วยังก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ อย่างเศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) ที่เจ้าของสามารถสร้างรายได้จาการปล่อยเช่าห้องนอนที่ว่างในบ้าน หรือแม้กระทั่งห้องนั่งเล่นได้ง่ายผ่านเว็ปไซต์ Airbnb หรือ HomeAway ในขณะที่ผู้บริโภคก็จะมีตัวเลือกมากขึ้น ส่วนผู้ประกอบการเดิม เช่น เจ้าของโรงแรม ต้องเหนื่อยขึ้นเพราะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องก็จะเกิดการปรับตัว มีการควบรวมผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กที่ไม่มีเงินทุนมากพอ เหลือรอดแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ ส่วนคนที่ยังยึดติดกับวิธีการแบบเดิม ๆ ก็จะถูกกลืนหายไปในที่สุด
ข้อมูลจาก CB Insights ชี้ให้เราเห็นว่า ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับ PropTech โดยเม็ดเงินกว่า 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ถูกใช้เพื่อสนับสนุน PropTech ในปี 2016 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ในปี 2017