โดย…ศรศักดิ์ สร้อยแสงจันทร์
ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน
BF Knowledge Center
ภาวะการลงทุนในปีนี้ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัย ได้แก่
- เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลง อาจส่งผลให้การส่งออกไม่ดี
- สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่สงบศึกชั่วคราว แต่ยังไม่ถือว่าจบสิ้น
- ไวรัสโคโรน่าระบาดที่เมืองจีน แต่ส่งผลสะเทือนถึงเมืองไทย โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว
- ภัยแล้งที่กำลังคืบคลานมา กระทบภาคเกษตรและประชาชนระดับกลางถึงล่าง
ภายใต้ความไม่แน่นอนเช่นนี้ การลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท จะสามารถช่วยรองรับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยง โดยมีได้ผลตอบแทนพอสมควร และให้เงินลงทุนได้มีโอกาสเติบโตต่อไปอย่างต่อเนื่องหากปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
กองทุนบัวหลวงขอแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตลงทุนให้มีสินทรัพย์หลากหลายประเภท หรือเลือกใช้กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนแบบผสม ซึ่งเรื่องนี้กองทุนบัวหลวงได้คิดเผื่อไว้แล้ว โดยเรามี กองทุนเปิดบัวหลวงอินคัม หรือ B-INCOME ที่มีนโยบายกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ทั้งตราสารหนี้ที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ กองทุนอสังหาริมทรัพย์-โครงสร้างพื้นฐานเป็นสินทรัพย์เสี่ยงปานกลาง และสินทรัพย์เสี่ยงสูงคือหุ้น โดยกองทุนนี้มีสัดส่วนลงทุนใน
- ตราสารหนี้ ประมาณ 50 – 60% ของพอร์ตลงทุน ถึงแม้ในตอนนี้ดอกเบี้ยจะต่ำ แต่ข้อดีของตราสารหนี้มูลค่าผันผวนน้อย ลดแรงกระแทกจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดทุนได้ดี จึงเป็นสินทรัพย์หลักของกองทุน
- กองทุนอสังหาริมทรัพย์-โครงสร้างพื้นฐาน ประมาณ 20 – 25% ของพอร์ตลงทุน ถึงแม้ราคากองทุนจะมีความผันผวนอยู่บ้างแต่ก็ยังผันผวนต่ำกว่าหุ้น โดยมีข้อดีคือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอในอัตรา 4 – 7%
- หุ้น ประมาณ 20 – 25% ของพอร์ตลงทุน หากสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ผู้จัดการกองทุนอาจพิจารณาถือหุ้นต่ำกว่า 20% ก็ได้ แต่หากปัจจัยลบต่างๆ คลี่คลายลง หรือ พลิกกลับไปในทางที่ดี หุ้นจะช่วยสร้างผลตอบแทนให้กองทุนได้ดี และในระยะยาว หุ้นก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเหนือสินทรัพย์อื่นๆ ทั้งหมด จึงต้องมีไว้ในพอร์ตระดับหนึ่งเสมอ
กองทุนเปิดบัวหลวงอินคัม B-INCOME เป็นกองทุนที่มีส่วนผสมของสินทรัพย์ที่หลากหลาย เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถเผชิญกับภาวะการลงทุนต่างๆ ได้ด้วยความสบายใจ