โดย พริ้มพัชร จิรบวรพงศา AFPTTM
ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน
BF Knowledge Center
ในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี เชื่อว่านักลงทุนต้องเคยได้ยินประโยคยอดฮิตที่ว่า Sell on May and Go Away โดยเมื่อไปย้อนดูสถิติย้อนหลัง 10 ปี จะพบว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปรับตัวลดลงถึง 7 ครั้ง ในช่วงเดือนพฤษภาคม รวมถึงตลาดหุ้นต่างประเทศก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้นักลงทุนเชื่อได้ว่า “ถ้าไม่อยากขาดทุนในช่วงเดือนพฤษภาคม ก็ควรขายหุ้นออกไปซะ!”
ทั้งนี้ หากพิจารณาในส่วนของตลาดหุ้นไทยจะพบว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลงเป็นเพราะในช่วงนี้เป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ประกาศงบไตรมาสแรก ซึ่งสะท้อนทิศทางของบริษัทในไตรมาสถัดไป ทำให้นักลงทุนสามารถพิจารณาได้ว่าจะลงทุนต่อหรือพอแค่นี้
ปัจจัยต่อไปคือ ในช่วงนี้เป็นช่วงที่บริษัทฯ ได้ประกาศและจ่ายปันผล (ถ้ามี) แล้ว จึงกล่าวได้ตลาดรับข่าวที่รอคอยไปเรียบร้อยจึงอาจทำให้เกิด “Sell on Fact” คือ นักลงทุนบางส่วน ได้ทำการขายเพื่อกำไรระหว่างทาง ส่งผลให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวลงมา โดยเฉลี่ยก็ปรับตัวลดลงประมาณ 2% เท่านั้น จึงไม่อยากให้นักลงทุนกังวลมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมีความเห็นว่า ตลาดหุ้นไทยในเดือนนี้ไม่น่าจะปรับตัวลดลงมาก เพราะได้ปรับฐานไปแล้วในช่วงที่รับข่าวการระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ราคาก็อาจมีความผันผวนนิดหน่อยจากแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศ จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนหุ้นไทยเพิ่ม เพื่อเฉลี่ยต้นทุนจากปีก่อนที่ราคาค่อนข้างแพง ด้วยการเลือกใช้วิธีลงทุนแบบถัวเฉลี่ยที่เรียกว่า Dollar Cost Averaging (DCA) โดยอาจลงทุนขั้นต่ำครั้งละ 500 บาทก็ได้ หรือ สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ตอนนี้รัฐบาลได้สนับสนุนให้ลงทุนในหุ้นไทย โดยอนุมัติให้ออกกองทุน SSF แบบพิเศษหรือที่เรียกว่า SSF Extra ในวงเงินเพิ่มพิเศษ 200,000 บาท ไม่ต้องนำไปรวมกับกองทุน SSF ปกติและกองทุน RMF
ทั้งนี้ ต้องลงทุนในช่วงวันที่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563 ซึ่งปัจจุบันกองทุนบัวหลวงมีกองทุนที่ชื่อว่า กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นไทยเพื่อการออม (BEQSSF) มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทย เฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล