โดย ทนง ขันทอง
เริ่มที่จะมีคนตั้งคำถามมากขึ้นว่าคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์สิ้นมนต์ขลังในการลงทุนไปแล้วหรือยังไง หลังจากที่ Berkshire Hathaway มีการประชุมผู้ถือหุ้นที่ผลออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจ และบัฟเฟตต์ประกาศว่า บริษัทขาดทุนสุทธิเกือบ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสแรกของปี 2020 จากพิษของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยรวม
Berkshire Hathaway นั่งทับเงินสดมากถึง 130,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้หลายคนสงสัยว่า บัฟเฟตต์กำลังคิดอะไรอยู่ เพราะว่ามีโอกาสที่ Berkshire Hathaway จะพลาดขบวนรถไฟจากการทำแรลลี่ของตลาดตั้งแต่ช่วงปลายเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ที่ได้รับแรงหนุนจากสภาพคล่องมหาศาลของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมทั้งความคาดหวังในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของรัฐบาลทรัมป์
โกลด์แมน แซคส์ ออกรายงานว่า ในช่วงที่ตลาดทำแรลลี่ปรากฎว่า นักลงทุนรายย่อยกระโจนเข้าตลาดหุ้นอย่างไม่ลังเลใจ ทำให้สามารถทำกำไรได้มากกว่านักลงทุนมืออาชีพที่เป็นสถาบัน รวมท้ังเฮดจ์ฟันด์เสียอีก
เมื่อเก็บเงินสดเอาไว้เฉยๆ ไม่ลงทุนอะไรมาก จึงมีโอกาสที่ Berkshire Hathaway จะมีผลประกอบการที่ต่ำกว่าดัชนี S&P 500โดยเฉลี่ยในปี 2020 นี้ หลังจากแพ้ดัชนี S&P 500 แล้วในปี 2018 และปี 2019
ที่ผ่านมาบัฟเฟตต์มีชื่อเสียงว่าเป็นนักลงทุนอัจฉริยะจากการเข้าไปช้อนซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ราคาต่ำ และถือยาว แต่หุ้นที่ Berkshire Hathaway ลงทุนจะเป็นกลุ่มบริษัทที่อยู่ในเศรษฐกิจเก่า (Old Economy) ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอนนี้ ขับเคลื่อนโดยบริษัทเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ตที่อยู่ในเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) และในปัจจุบันนี้ หุ้นกลุ่มเศรษฐกิจใหม่นี้มีสัดส่วนรวมกันสูงถึง 38% ของมูลค่าตลาดรวม (market capitalization)
ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บัฟเฟตต์ยังคงยืนยันว่า เขามีความเชื่อมั่นในหุ้นของกลุ่มธนาคาร และยังไม่วางใจในหุ้นบริษัทเทคโนโลยี แต่หุ้นบริษัทเทคโนโลยีทำแรลลี่สวนทางกับความคิดเห็นของบัฟเฟตต์
นอกจากนี้ บัฟเฟตต์ ยังผิดพลาดสูงจากการลงทุนในบริษัทผู้ผลิตอาหาร Kraft Heinz และบริษัทผลิตน้ำมัน Occidental Petroleum ปีที่แล้ว Berkshire Hathaway ต้องตัดขาดทุน 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการลงทุนใน Kraft Heinz
ส่วน บริษัทOccidental Petroleumไม่ได้จ่ายเงินปันผล รวมทั้งใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อขายหลักทรัพย์ (วอแรนท์) ของบริษัทดูแล้วแทบจะไม่ค่อยมีค่า
พอร์ตการลงทุนหุ้นของ Berkshire Hathaway ยังคงกระจุกตัวในหุ้นของกลุ่มบริษัทที่อยู่ในเศรษฐกิจเก่า แม้ว่า Berkshire Hathaway จะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท Apple โดยถือหุ้นอยู่ประมาณเกือบ 90,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนหุ้นบริษัทอื่นๆ ที่ Berkshire Hathaway ลงทุนประกอบด้วย Bank of America, Coca-Cola, American Express, Kraft Heinz, Wells Fargo, Moody’s, JP Morgan Chase, US Bancorp, Bank of New York Mellon, DaVita, Charter Communications, VeriSign, GM, Visa, Liberty Media, Mastercard, BYD, Amazon, Costco และ PNC Financial
จะเห็นได้ว่า บัฟเฟตต์เลือกลงทุนในบริษัทที่อยู่ในเศรษฐกิจเก่า ที่เขาคุ้นเคยหรือมีความเชี่ยวชาญ บัฟเฟตต์พูดหลายคร้ังว่า เขาจะไม่ลงทุนในบริษัทใดที่เขาไม่เข้าใจธุรกิจของบริษัทนั้น แต่ยุคนี้เป็นยุคของบริษัทเทคโนโลยีที่เปิดทางการทำธุรกิจแบบใหม่ที่คนส่วนมากไม่คุ้นเคย หรือไม่เข้าใจ กว่าที่จะเรียนรู้เพื่อเข้าใจ ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นก็ขึ้นสูงไปมากแล้ว
เรื่องการลงทุนเป็นเรื่องระยะยาว สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ต้องดูกันต่อไปว่า บัฟเฟตต์จะมีการปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ หรือเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป