Highlight
- กองทุนหลักมองว่าไม่มีเหตุอันควรที่นักลงทุนจะปรับพอร์ตไปมาโดยคาดการณ์ถึงผลลัพธ์หลังการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ควรให้ความสำคัญกับรายละเอียดของแต่ละบริษัทซึ่งมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน โดยกองทุนหลักคัดเลือกหุ้นรายตัวทั่วโลกที่ตลาดให้ค่ากับผลตอบแทนเทียบเงินลงทุนที่ต่ำเกินไป
- กองทุนหลักยังคงให้น้ำหนักพอร์ตโฟลิโอกับหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ เทคโนโลยี และผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จาก New normal หลังการระบาดของ COVID-19 และลดน้ำหนักหุ้นกลุ่มอสังหาฯลง
- มองว่ามีบริษัทจีนที่น่าสนใจจำนวนมากที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาวโดยเฉพาะในตลาด A-Shares
กองทุนหลัก Wellington Global Opportunities จัดทัพลงทุนในตราสารทุนทั่วโลกโดยพิจารณารายละเอียดของแต่ละบริษัทซึ่งมีความแตกต่างกัน การคัดเลือกหุ้นรายตัวที่ตลาดให้ค่าต่ำเกินไปต่อผลตอบแทนที่กิจการทำได้ไปเมื่อเทียบกับเงินลงทุน นำมาซึ่งผลการดำเนินงานที่ดีกว่าตลาด ดังนั้นในแง่ปัจจัยมหภาคที่เข้ามาสั่นคลอน เช่น ราคาหุ้นภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สงครามการค้า ฯลฯ จึงมองว่าไม่มีเหตุอันควรที่จะปรับพอร์ตโดยคาดการณ์ถึงผลลัพธ์ทางการเมือง แม้ในขณะนี้พรรคเดโมแครตจะส่งผู้ท้าชิงคือ นายโจ ไบเดน ที่เริ่มมีเสียงโหวตนำทางฝั่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ลงศึกท้าชิงอีกสมัยก็ตาม หากทางพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งก็มีโอกาสสูงที่ภาษีนิติบุคคลจะได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ประมาณ 21% เนื่องจากเป็นหนึ่งในนโยบายที่ได้กล่าวไว้ในช่วงหาเสียง แน่นอนว่าจะทำให้กำไรสุทธิของบริษัทลดลงจากเดิมบ้าง แต่ก็ต้องติดตามอีกว่าตลาดจะสะท้อนข่าวนี้ในทิศทางใด ประเด็นนี้กองทุนหลักเฝ้าติดตามใกล้ชิด และจะคอยหาโอกาสลงทุนหุ้นรายตัวที่ราคาลดลงหากตลาดมองข้ามผลตอบแทนเทียบเงินลงทุนของกิจการ (Return on Invested Capital)
สำหรับสัดส่วนการลงทุนรายประเทศของกองทุนหลักมีดังนี้ อเมริกาเหนือ 68.5% ยุโรป 15.8% ญี่ปุ่น 5.0% เอเชียแปซิฟิกไม่ร่วมญี่ปุ่น 1.2% และตลาดเกิดใหม่ 9.5% ด้านตลาดเกิดใหม่กองทุนหลักลงทุนในหุ้นจีนคิดเป็นสัดส่วน 8.6% (จากสัดส่วนในตลาดเกิดใหม่ทั้งหมดที่มี 9.5%) สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะเกิดจากการที่ได้หาจังหวะเข้าลงทุนในช่วงที่หุ้นจีนมีราคาร่วงลงระหว่างเดือนมี.ค.-เม.ย. โดยเป็นการเข้าลงทุนหุ้นจีนในกลุ่มธุรกิจทางด้านอีคอมเมิร์ส ผู้ให้บริการทางด้านการสื่อสาร ธุรกิจออนไลน์ และเฮลธ์แคร์
กองทุนหลักทำผลการดำเนินงาน (+23.3%) ในไตรมาสสองสูงกว่าดัชนี MSCI AC World Net (+19.2%) ผลการดำเนินงานที่ว่านี้มาจากการคัดเลือกตราสารทุนรายตัวในช่วงที่ตลาดร่วงลงจากสถานการณ์ COVID-19 เห็นได้ว่าในทุกครั้งที่ตลาดเกิดภาวะกลัว (Market sell 0ff) กองทุนฯอาศัยจังหวะที่ตลาดมองข้ามความสามารถของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนเทียบเงินลงทุน เข้าซื้อหุ้นทั่วโลกในกลุ่มเฮลธ์แคร์ เทคโนโลยี และผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร สำหรับพอร์ตโฟลิโอจำแนกตามรายประเทศของกองทุนหลัก ยังคงมีสัดส่วนตราสารทุนอเมริกาเหนือมากที่สุดคือ 68.5% แต่ได้เพิ่มน้ำหนักหุ้นจีนอย่างต่อเนื่อง เช่น บริษัท Meituan Dianping แอปผู้ให้บริการจัดส่งอาหารท้องถิ่น บริษัท Hangzhou Tigermed ซึ่งทำธุรกิจ Clinical contractor research ให้กับบริษัทเภสัชกรรมที่ทดลองนวัตกรรมยาในประเทศจีน เป็นต้น หลังจากนี้กองทุนหลักจะคอยเฝ้าติดตามทิศทางเศรษฐกิจรายประเทศหลังการพลิกฟื้นจากสถานการณ์ COVID-19 เพื่อประเมินบริบทของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกว่าจะมีลักษณะเช่นไร แม้ความตึงเครียดทางการค้าจะทำให้กองทุนหลักให้ความระมัดระวังต่อหลักทรัพย์ลงทุนที่มีอยู่ในพอร์ต แต่กลับพบบริษัทจีนที่น่าสนใจจำนวนมากที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว
มุมมองต่อหุ้นห้าอันดับแรกที่ส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 (เม.ย.-มิ.ย.)
1. บริษัท Chegg (สัดส่วนลงทุน 0.9%)
Sector: สินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer discretionary) สหรัฐฯ
ผู้ให้บริการสื่อการสอนออนไลน์สัญชาติสหรัฐฯ บริษัทมีแพลตฟอร์มให้บริการด้านตำราเรียน ออนไลน์ติวเตอร์ บริษัทได้รับประโยชน์จากการมาตรล็อคดาวน์เริ่มในเดือนมี.ค. มีนักเรียนเข้ามาใช้บริการและลงทะเบียนใช้งานเพิ่มขึ้น กองทุนหลักมองว่าเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการเรียนการสอน ทำให้ในระยะยาวผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับใหม่ที่สูงกว่าเดิม
2. บริษัท Match Group (สัดส่วนลงทุน 1.3%)
Sector: บริการด้านการสื่อสาร (Communication services) สหรัฐฯ
บริษัทสัญชาติสหรัฐฯให้บริการไปทั่วโลกทั้งในตลาดประเทศพัฒนาแล้วและตลาดประเทศกำลังพัฒนา ธุรกิจบริการหาคู่ออนไลน์ของบริษัทได้รับประโยชน์จากมาตรการล็อคดาวน์ที่ผู้คนใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในบ้านและด้วยตัวทรัพย์สินที่เป็นเอกลักษณ์ของบริษัททำให้กองทุนหลักเชื่อว่าจะสามารถถูกนำไปใช้ประโยชน์สร้างรายได้ให้เกิดขึ้นส่งผลเชิงบวกต่อผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้นในอนาคต
3. บริษัท DocuSign (สัดส่วนลงทุน 0.8%)
Sector: ไอที (Information Technology) สหรัฐฯ
ทำธุรกิจให้บริการลายเซนต์อิเล็กทรอนิกส์บนคลาวด์ ได้รับประโยชน์จากธุรกรรมทางกฎหมายในช่วง work from home ทำให้มีอุปสงค์ต่อบริการทางไกลจำนวนมาก อันที่จริงแล้วกองทุนหลักชื่นชอบมาตั้งแต่ก่อนเกิด COVID-19 เพราะมีโมเดลทางธุรกิจที่สร้างประสิทธิภาพในการทำธุรกรรม
4.บริษัท MercadoLibre (สัดส่วนลงทุน 6%)
Sector: สินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) บราซิล
ทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซและการชำระเงินออนไลน์สัญชาติบราซิล บราซิลเป็นตลาดที่มียอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 มากที่สุดอันดับสองของโลก ยอดค้าปลีกออนไลน์ของบราซิลเติบโตสูงมากมาตั้งแต่ในไตรมาส 2 ของปี 2563 กองทุนหลักลงทุนเพราะตลาดประเมินธุรกิจการชำระเงินออนไลน์ อี-คอมเมิร์ซ ต่ำเกินจริง ทั้งที่เป็นตลาดที่โตขึ้นเรื่อยๆ และบริษัทถือครองส่วนแบ่งตลาดอย่างมีนัย ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นบราซิลปรับตัวขึ้น กองทุนหลักปรับลดสัดส่วนด้วยการขายทำกำไรออกไป
5. บริษัท Royalty Pharma (สัดส่วนลงทุน 0.3%)
Sector: เฮลธ์แคร์ (Health Care) สหรัฐฯ
เป็นบริษัทที่จัดสรรเงินลงทุนในพอร์ตของกลุ่มบริษัทผู้ค้นคว้านวัตกรรมและวิจัยยาระยะสุดท้ายของการทดลอง แทนที่จะลงทุนกับบริษัทผู้ผลิตไบโอเทคโดยตรง บริษัทได้ซื้อส่วนแบ่งรายได้ตามสิทธิ์ถือครอง การถือครองสิทธิบัตรยาในเฟสสุดท้ายของการทดลองในห้องแลปมีความน่าสนใจสูงและได้รับการจับจ้องจากผู้คร่ำหวอดในแวดวงอุตสาหกรรมยา บริษัทเพิ่งจะเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกในเดือนมิ.ย. ด้วยการขายหุ้นจำนวน 7.7 ล้านหุ้นมูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำสถิติบริษัทที่ระดมเงิน IPO สูงที่สุดในปีนี้ หลังจากนั้นได้จดทะเบียนในตลาดแนสแดก ด้านงบการเงินมีรายได้เติบโตสูง ฐานะเงินสดจำนวนมาก มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลประมาณ 2.3%
มุมมองต่อหุ้นห้าอันดับแรกที่ส่งผลลบต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 เม.ย.-มิ.ย.)
1. บริษัท China tower (สัดส่วนลงทุน 0.0%)
Sector: บริการด้านการสื่อสาร (Communication services) จีน
ให้บริการฐานส่งสัญญาณสื่อสารโทรคมนาคม ผลประกอบการไตรมาสสองไม่ต่างจากที่ตลาดการณ์ไว้ก่อนหน้า นักลงทุนจึงผิดหวังเพราะคิดว่าตัวเลขจะออกมาดีกว่าที่คาด การเริ่มติดตั้งและให้บริการเครือข่าย 5G ค่อนข้างล่าช้า ธุรกิจยังมีความไม่แน่นอนในการก้าวเข้าเข้าสู่ระบบ 5G และอนาคตของธุรกิจผูกไว้กับข้อจำกัดของบริษัทหัวเว่ย แม้ในระยะยาวจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนถ่าย 4G ไป 5G ของจีนก็ตาม
2.บริษัท Microsoft (สัดส่วนลงทุน 0%)
Sector: ไอที (Information Technology) สหรัฐฯ
บริษัทได้รับประโยชน์จากอุปสงค์ทางด้านออนไลน์ มีโมเดลทางธุรกิจที่เยี่ยมกระจายตัวหลากหลายและเข้าไปเปลี่ยนแปลงธุรกิจในกลุ่มอื่น บริษัทอื่นๆ จำเป็นต้องพึ่งพาสินค้าและบริการของบริษัท แต่ในแง่ระดับราคาหุ้นนั้นนักลงทุนในตลาดยังเคลือบแคลงสงสัยว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่เพียงใด
3.บริษัท L3Harris Technologies (สัดส่วนลงทุน 8%)
Sector: Industrials (Industrial) สหรัฐฯ
เชี่ยวชาญการผลิตฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในทางทหารให้กับเพนตากอนสหรัฐฯ บริษัทปรับประมาณการณ์รายได้ลงจากรายได้การขายเครื่องบินเชิงพาณิชย์ที่ลดลง กองทุนหลักคาดว่าอุปสงค์ต่อสินค้าและบริการจะลดลงหากนายโจ ไบเดน ได้รับการเลือกเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เนื่องจากเขาจะตัดงบทางการทหารลง
4.บริษัท Pfizer (สัดส่วนลงทุน 5%)
Sector: เฮลธ์แคร์ (Health Care) สหรัฐฯ
ผู้ผลิตยาสหรัฐฯ ผลการทดลองยาที่ใช้รักษามะเร็งเต้านม ในเดือนพ.ค. 2563 ออกมาผิดหวัง นักลงทุนจึงขายหุ้น กองทุนหลักมองว่ามีโอกาสล่าช้าในการผนวกรวมธุรกิจกับผู้ผลิตยาชื่อ Mylan ซึ่งกองทุนหลักมองว่าจะสร้างมูลค่าให้กับบริษัทในระยะยาว จึงเริ่มเพิ่มฐานะการลงทุนในช่วงปลายเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา
5. Compass Group (สัดส่วนลงทุน 0.0%)
Sector: สินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) สหราชอาณาจักร
เป็นบริษัท food services ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ให้บริการเสิร์ฟอาหารนอกสถานที่เช่น ออฟฟิศ โรงงาน โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล จุดแข็งตรงที่สร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับให้กับลูกค้า
กลยุทธ์การบริหารและมุมมองต่อตลาดของกองทุน Wellington Global Opportunities Equity Fund
กองทุนหลักได้ตรวจตราข้อมูลเชิงตัวเลขหลายด้าน หนึ่งในตัวเลขที่ติดตามคือจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นรายวัน เพื่อนำมาพิจารณาหาความยืดเยื้อของการแพร่ระบาดไวรัสในระลอก 2 และ 3 ภายใต้แนวคิดที่ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยอย่างรุนแรงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคิดกระบวนการตัดสินใจในตอนนี้ทำให้มีโอกาสเข้าลงทุนใน
- หุ้นที่ราคาปรับลดลงแรงและมีฐาะทางการเงินดี เป็นผู้นำตลาด สามารถบริหารจัดการทรัพยากรภายในบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีโอกาสเพิ่มผลตอบแทนเทียบเงินลงทุน หน้าตาธุรกิจที่ว่านี้จึงอยู่ในกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการเชื่อมต่อข้อมูล กลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มเฮลธ์แคร์ ได้แก่ หุ้นบริษัท Comcast (Software) หุ้นบริษัท Salesforce.com (Software) หุ้นบริษัท Baxter International (Healthcare)
- หุ้นของธุรกิจที่มีโอกาสทำกำไรได้เร็วในช่วงที่ยอดคนติดเชื้อไวรัสลดลง
สำหรับตลาดหุ้นยุโรป กองทุนหลักยังไม่ไว้ใจเพราะเป็นภูมิภาคที่คงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำและมีโอกาสถูกแทรกแซงจากรัฐบาล เมื่อวิเคราะห์พื้นฐานบริษัทกองทุนจึงตัดสินใจลดสัดส่วนในธุรกิจพลังงานในยุโรป (ขายหุ้นบริษัท Total, พลังงาน, สัญชาติฝรั่งเศส) และหลีกเลี่ยงธุรกิจบริการต้อนรับ โรงแรม เพราะเชื่อว่าสถานการณ์รอบนี้จะลากยาว ใช้เวลานานถึงจะฟื้นตัว
ที่มา: Wellington Management, as of August 2020
Sector positioning
Regional positioning
รายชื่อหลักทรัพย์ลงทุน 10 อันดับแรกของกองทุนหลัก Wellington Global Opportunities Equity Fund
กลยุทธ์ลงทุนของ Wellington Global Opportunities Equity Fund
แสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวในหุ้นทั่วโลก ด้วยการวิเคราะห์หุ้นจากปัจจัยพื้นฐานและข้อมูลเชิงลึกของบริษัท ประกอบกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจมหภาค โดยพิจารณาจาก
- ผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (Return to Capital)
- งบการเงินและโครงสร้างของอุตสาหกรรมเพื่อหาบริษัทที่ให้ผลตอบแทนอย่างยั่งยืนและปรับตัวได้ดี
- โอกาสการลงทุนอันเกิดจากความไม่มีประสิทธิภาพของตลาด อย่างเช่นนักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเติบโตของกำไรในระยะสั้นจนเกินไป
กราฟ: แสดงกระบวนการลงทุนของ Wellington Global Opportunities Fund ซึ่งคัดเลือกบริษัทลงทุนโดยพิจารณาบริษัทที่ตลาดคาดหวังผลตอบแทนต่อเงินลงทุนไว้ต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็น สาเหตุก็เนื่องมาจาก
1.ตลาดให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านผลประกอบการและกำไรสุทธิของกิจการในระยะสั้น
2.ตลาดไม่มีประสิทธิภาพ: เนื่องจากนักลงทุนสนใจให้ความสำคัญกับกลุ่มอุตสาหกรรมใดกลุ่มอุตสาหกรรมหนึ่ง หรือประเทศในประเทศหนึ่งมากเกินไป
3.โดยกองทุนเชื่อว่าผลตอบแทนต่อเงินลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนราคาหุ้นในตลาดของบริษัทจดทะเบียน
4.ข้อมูลบริษัทที่เกี่ยวกับแนวทางการบริหารสินทรัพย์และแนวทางการจัดสรรเงินลงทุนจะเป็นตัวบ่งชี้ผลตอบแทนของบริษัทในอนาคต
กองทุนหลัก (Master Fund)
ชื่อ: Wellington Global Opportunities Equity Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class S
นโยบายการลงทุน: เป็นกองทุนที่จดทะเบียนในประเทศลักเซมเบิร์กมีนโยบายลงทุนในหุ้นสามัญ รวมถึงหลักทรัพย์ต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นตราสารแห่งทุน เช่น หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ และใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงที่ออกโดยบริษัทต่างๆ ทั่วโลก
วันที่จดทะเบียน: กุมภาพันธ์ 2553
ประเทศที่จดทะเบียน: ลักเซมเบิร์ก
NAV: USD 23.21
เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): MSCI AC World Net
Morningstar Category: Large cap Growth
Bloomberg code: WLLGOAU LX
Fund size: USD 411.8 Million
Number of holdings: 107
ผลการดำเนินงานกองทุนย้อนหลัง (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 2563)