โดย…ทนง ขันทอง
บริษัทยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีอยู่ด้วยกัน5บริษัท ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทเทคโนโลยีทั้งนั้น คือ แอปเปิ้ล ไมโครซอฟท์ อเมซอน อัลฟาเบท และเฟซบุ๊ก แต่บริษัทในอนาคต 5 แห่งที่มีโอกาสหรือศักยภาพที่จะมาแทนที่ยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันมีบริษัทใดบ้าง?
ก่อนอื่นมาดูรายละเอียดก่อนว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ 5 บริษัทในปัจจุบันมีอิทธิพลเหนือตลาดหุ้นอย่างไร
จากตัวเลข ณ วันที่ 11 กันยายน 2020 แอปเปิ้ลมีมาร์เก็ตแคป 1.94 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีน้ำหนัก 6.6% ในตลาดหุ้นS&P 500 ไมโครซอฟท์มีมาร์เก็ตแคป 1.54 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีน้ำหนัก 5.6% อเมซอนมีมาร์เก็ตแคป 1.55 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีน้ำหนัก 4.7% อัลฟาเบทมีมาร์เก็ตแคป 900,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีน้ำหนัก 3.3% เฟซบุ๊ก มีมาร์เก็ตแคป 641,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีน้ำหนัก 2.3%
ในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นของโลก ไม่เคยปรากฎมาก่อนว่าความมั่งคั่งของหุ้นจะกระจุกอยู่ใน 5 บริษัท โกลด์แมน แซคส์ รายงานว่า 5 บริษัทยักษ์ใหญ่นี้มีสัดส่วน 23% ของมาร์เก็ตแคปทั้งหมดของตลาดหุ้น S&P 500 และ 39% ของมาร์เก็ตแคปทั้งหมดของดัชนี Russell 1000 Growth
ตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันที่ 11 กันยายน 2020 แอปเปิ้ล ไมโครซอฟท์ อเมซอน อัลฟาเบทและเฟซบุ๊ก ให้ผลตอบแทน 40% เทียบกับ 5% สำหรับตลาดหุ้น S&P 500 โดยรวม นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่าทั้ง 5 บริษัทยักษ์ใหญ่นี้จะมียอดขายที่โต 22% ต่อปีระหว่างปี 2018 ถึงปี 2022
ในขณะที่ตลาดอยู่ในสภาพแวดล้อมของการเติบโตที่ต่ำที่มีผลกระทบต่อบริษัททั่วไป แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 5 กลับยังคงสามารถรักษาการเติบโตทางรายได้ได้ เนื่องจากมีความโดดเด่นทางด้านเทคโนโลยี
ส่วนบริษัทที่มีขนาดใหญ่รองลงมาที่อยู่ในท็อป 10 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือ เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ 530,000ล้านดอลลาร์สหรัฐ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 389,000 ดอลลาร์สหรัฐ พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล 342,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ วีซ่า อิงค์ 339,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเจพี มอร์แกน เชส 308,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายเดวิด คอสติน แห่งโกลด์แมน แซคส์ เขียนรายงานล่าสุดว่า นักลงทุนได้มองข้าม 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ โดยกำลังเล็งหาบริษัทที่มีศักยภาพของการเจริญเติบโต ซึ่งอาจจะมาแทนที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในอนาคต ทั้งนี้มีเหตุผลหลายประการด้วยกันคือความกังวลใจของแรงเหวี่ยงที่จะเดินไปข้างหน้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 5 รวมทั้งระดับราคาหุ้น
นอกจากนี้ยังมีปัญหาทางโครงสร้างทางข้อจำกัดของผู้จัดการกองทุนที่ในปัจจุบันไม่สามารถจะถือครองหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเกิน5%ของพอร์ต เนื่องจากต้องมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ในขณะเดียวกันมีหุ้นยักษ์ใหญ่หลายตัวที่มีน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์5%ของดัชนีมาตรฐาน
นายคอสตินศึกษาพัฒนาการและการเจริญเติบโตของแอปเปิ้ล ไมโครซอฟท์ อเมซอน อัลฟาเบท และเฟซบุ๊ก และเล็งดู 5 บริษัทที่มีอยู่ ที่น่าจะมีการเจริญเติบโตและกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่กับบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 5 ในปัจจุบัน โดยวางเกณฑ์เอาไว้ว่าต้องมีอัตราการเติบโตของยอดขายมากกว่า 10% ต่อปีในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา และต้องมียอดขายโตกว่า 10% ต่อปีอย่างน้อยในอีก 2 ปีข้างหน้า
ปรากฎว่ามีทั้งหมด 21 บริษัทที่อยู่ในเกณฑ์นี้นอกจากยักษ์ใหญ่ทั้ง 5 ที่จะมีอัตราการเติบโตของยอดขายโดยเฉลี่ย 18% ระหว่างปี 2018 ถึงปี 2022
หลังจากคัดเลือกบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตทางยอดขายที่สูงอย่างต่อเนื่องแล้ว นายคอสติน มองไปที่กลุ่มธุรกิจที่จะมีการเติบโตสูง โดยแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มด้วยกัน คือ
- ระบบคอมพิวเตอร์สำหรับอุตสาหกรรมสุขภาพ (Computerization of healthcare) เนื่องจากเทคโนโลยีจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์เกือบทุกด้านต่อไปในอนาคต (Intuitive Surgical)
- การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ดิจิทัลของธุรกิจ (Digital transformation of business) ซอฟต์แวร์จะกินโลกทั้งใบ การรวมเอาแพลตฟอร์มของซอฟต์แวร์กับธุรกิจที่อยู่นอกเทคโนโลยีได้ดำเนินมาหลายปีแล้ว และแนวโน้มจะทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ (Autodesk Inc)
- ระบบอัตโนมัติรองรับกระบวนการทำงาน (Workflow automation) บริษัทต้องใช้ซอฟต์แวร์เพื่อ automate และใช้ประโยชน์สูงสุด เช่น การบริหารบุคคล การจ่ายเงิน การบริหารไอที และการใช้เงิน (ServiceNow Inc)
- อี-คอมเมิร์ซ และการชำระเงินดิจิทัล (E-commerce and digital payments) ไวรัสโคโรนาทำให้มีการเร่งการเปลี่ยนแปลงไปยังอี-คอมเมิร์ซจากการขายให้กับคน และการชำระเงินแบบดิจิทัลจากเงินสด (PayPal Holdings)
- ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Advancements in life sciences) บริษัทด้านสุขภาพจะมีพัฒนาการความก้าวหน้าในการหาวิธีป้องกันและรักษาคนป่วยต่อไป (Vertex Pharmaceuticals)
มาถึงบทสรุป นายคอสติน คัดเลือกหุ้น 5 บริษัทจากทั้งหมด 21 บริษัทซึ่งอยู่ในกลุ่มที่คัดเลือกไว้ตามกรอบ เหตุผลที่ศึกษามาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการของการเติบโต ยอดขาย และกลุ่มธุรกิจ โดยมองว่า Vertex Pharmaceuticals (VRTX) บริษัทไบโอเทคที่มีมาร์เก็ตแคป 67,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ Autodesk Inc (ADSK) บริษัทซอฟต์แวร์ที่มีมาร์เก็ตแคป 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ PayPal Holdings (PYPL) บริษัทไอที ที่มีมาร์เก็คแคป 216,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ Intuitive Surgical (ISRG) บริษัทสุขภาพด้านอุปกรณ์และซัพพลาย ที่มีมาร์เก็ตแคป 82,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ServiceNow Inc (NOW) ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่มีมาร์เก็ตแคป 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเป็นหุ้นดาวเด่นในอนาคตที่มีโอกาสเติบโตเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 5 ในอนาคต