โดย…ทนง ขันทอง
นักลงทุนกำลังเตรียมใจว่า นอกจากนายโจ ไบเดนจะเอาชนะโดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พฤศจิกายนแล้ว พรรคเดโมแครตอาจจะกวาดที่นั่งเสียงข้างมากทั้งในสภาเซเนท และสภาผู้แทนราษฎรอีกด้วย
ถ้าหากพรรคเดโมแครตสามารถควบคุมทั้งทำเนียบขาว สภาเซเนท และสภาผู้แทนราษฎร มันจะเปิดทางให้มีการออกมาตรการทางด้านการคลังในเชิงรุกในปีหน้า และการเพิ่มงบประมาณขาดดุลในปีต่อๆไป
ไบเดนต้องการเพิ่มภาษี ในขณะเดียวกันต้องการเพิ่มการใช้จ่ายอีกด้วย Penn Wharton Budget Model คาดการณ์ว่า รัฐบาลกลางจะเพิ่มการใช้จ่าย 5.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะ 10 ปีข้างหน้า
ส่วนนโยบายการเงินไม่น่าที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดี เพราะว่าดอกเบี้ยต้องถูกกดอยู่ในระดับต่ำต่อไปเพื่อลดภาระหนี้ รวมทั้งภาระดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่าย และเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไปในตัว
นาย Michael Kiley นักเศรษฐศาสตร์ของเฟดเขียนรายงานว่า เฟดจะต้องเข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลในระดับเทียบเท่า 30% ต่อจีดีพี หรือ 6.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อที่จะลดผลกระทบจาก “Zero Lower Bound” ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ทางเศรษฐกิจมหภาคอันเนื่องมาจากดอกเบี้ยระยะสั้นลงมาใกล้ หรือแตะระดับ 0% ทำให้เกิดกับดักสภาพคล่อง และจำกัดความสามารถของธนาคารกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
Kiley บอกว่า เนื่องจากเฟดทำคิวอีไปแล้ว 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อพันธบัตรตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา มันหมายความว่าเฟดอาจจะต้องทำคิวอีเพิ่มอีก 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินเฟ้ออาจจะสร้างปัญหาตามมาภายหลัง
โพลล่าสุดของ CNN ชี้ให้เห็นว่า ไบเดน กำลังนำทรัมป์ด้านคะแนนความนิยมอยู่ถึง 14 จุด ในรัฐที่จะต้องขับเคี่ยวกัน (battleground states) ที่ทรัมป์มีชัยเหนือฮิลลารี่ คลินตันในการเลือกตั้งปี 2016 ปรากฎว่า ไบเดนกลับมามีคะแนนความนิยมนำทรัมป์อีกด้วย
ไบเดนดูดีกว่าทรัมป์ในการดีเบตนัดแรก ด้วยประโยคเด็ด “Will you shut up, man? เพราะว่าทรัมป์ชอบพูดแทรกขัดจังหวะ
ทรัมป์เสียรางวัดไปมากจากความผิดพลาดในการบริหารจัดการการระบาดของโคโรนาไวรัส ทำให้สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อไปแล้วกว่า 7 ล้านคน และมีคนอเมริกันเสียชีวิตไปแล้ว 200,000 กว่าคน นอกจากนี้ ทรัมป์และภรรยายังติดเชื้อโควิด-19 อีก ยิ่งทำให้ความเป็นผู้นำของทรัมป์เสื่อมลง เปิดโอกาสให้ศัตรูทางการเมืองโจมตีว่า ทรัมป์ไม่มีความรับผิดชอบ ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ให้กับทั้งผู้อื่นและตัวเอง
ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ทรัมป์จะหายป่วยจากโควิด-19 ทันเวลาที่จะดีเบตกับไบเดนรอบ 2 หรือไม่ในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ส่วนการดีเบตนัดสุดท้ายจะมีขึ้นในวันที่ 22 ตุลาคม
ตลาดการเงินผิดหวังทรัมป์มากที่ยกเลิกอย่างกระทันหันการเจรจางบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจก๊อก 2 เพื่อดูแลคนอเมริกันที่ตกงาน ธุรกิจหรือภาคส่วนต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากโคโรนาไวรัส มาตรการเยียวยาโควิด-19 ก๊อกแรกใช้หมดไปแล้วในเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ทำให้เกิดความลำบากไปทั่ว
ฝ่ายเดโมแครทมีการเสนองบประมาณจำนวน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับฝ่ายรีพับลิกัน ทรัมป์ กลัวว่า เดโมแครตจะได้คะแนนจากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 จึงยกเลิกการเจรจา โดยบอกว่า เดโมแครตจะโปรยเงินไปแจกเฉพาะรัฐที่ตัวเองควบคุมเสียง หลังจากเขาชนะการเลือกตั้งแล้ว เขาจะผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเอง เพื่อดูแลคนอเมริกันและธุรกิจขนาดย่อม
ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้มีการเสนอชื่อ Amy Barrett ให้ไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องเร่งด่วนแทน การแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของสภาเซเนท
การเมืองของสหรัฐฯ ที่อีรุงตุงนังในเวลานี้จึงสร้างความเสี่ยงให้กับนักลงทุน เพราะว่าทั้งไบเดนและทรัมป์ตั้งป้อมแล้วว่าจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แม้ว่านักลงทุนส่วนมากจะเชื่อว่าไบเดนจะชนะ แต่ก็ยังไม่วางใจเลยเสียทีเดียว เนื่องจากเข็ดหลาบจากการประเมินการเลือกตั้งผิดพลาดในปี 2016 ที่ทุกฝ่ายมองว่า ฮิลลารี่จะชนะชัวร์ๆ แต่ทรัมป์กลับมาพลิกล็อคเอาชนะฮิลลารี่ไปได้
นาย Patrik Schowitz จาก JP Morgan Asset Management ให้ความเห็นว่า นักลงทุนควรที่จะมองข้ามความโกลาหล หรือความเสี่ยงในระยะสั้นของการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน และให้ความสำคัญกับแนวโน้มในระยะกลางแทน
เขาบอกว่า ในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ความเห็นในแง่วงจรมีความสำคัญมากกว่า โดยในระยะ 1 – 2 เดือนข้างหน้า ทาง JP Morgan Asset Management มีการลดความเสี่ยง หรือลดขนาดของโพซิชั่นในพอร์ตการลงทุนให้มีความสมดุลมากขึ้น แต่ว่า หลังจากนั้นหรือผลการเลือกตั้งออกมาชัดเจน นักลงทุนควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในเครดิต และหุ้นเพราะว่าวงจรรอบใหม่ของเศรษฐกิจและตลาดขาขึ้นจะตามมา