โดย…ชัชวาล สิมะธัมนันท์
ในอดีต คำว่า “Cash is king” ถ้าแปลตรงตัว คือ เงินสด คือ พระราชา หรือที่เราได้ยินกันบ่อยๆ คือ เงินสด คือ พระเจ้า มักจะใช้พูดถึงเวลาบริษัทประสบปัญหาทางการเงิน โดยเฉพาะยามวิกฤต ที่หลายๆ บริษัท หรือบุคคลทั่วไปก็ตาม ขาดเงินสด หรือภาษาทางการ คือ ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ไม่มีเงินสดที่เพียงพอไว้ใช้จ่ายหมุนเวียน ซึ่งมีสาเหตุมาจากกำไรลดลงหรือขาดทุน มีหนี้สินที่ครบกำหนด ดอกเบี้ยต้องจ่ายคืน จะขอกู้เงินใหม่ก็ยาก ผลกระทบจากการขาดสภาพคล่องนั้นอาจรุนแรงจนทำให้ต้องขายทรัพย์สิน เพื่อนำเงินสดมาใช้ในการดำเนินงานของกิจการ หรือเพื่อการชำระหนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการล้มละลาย หากกิจการไหนไม่สามารถหาเงินสดมาได้ ก็คงต้องล้มละลายหรือปิดกิจการไป
ดังนั้น การมีเงินสดในมือ หรือการจัดการกระแสเงินสดที่ดี ทำให้สามารถผ่านช่วงวิกฤต และเป็นโอกาสดีที่กิจการสามารถซื้อของถูก ไม่ว่าจะเป็น สินทรัพย์ ที่ดิน โรงงาน สิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร และอุปกรณ์ต่างๆ จากคู่แข่ง หรือกิจการที่ประสบปัญหาทางการเงิน ขณะเดียวกัน หากสินทรัพย์ที่ซื้อมานั้น สามารถนำมาต่อยอดได้ในอนาคต เช่น การขยายกำลังการผลิต และหากทำได้ดีจะทำให้กิจการมีความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาวเมื่อวิกฤตจบลง สร้างกำไรได้เพิ่มขึ้นจากการลงทุนด้วยต้นทุนที่ต่ำในช่วงเวลานั้น
สำหรับแง่มุมการลงทุน “Cash is king” มักจะถูกหยิบยกมาพูดถึงกันบ่อยในช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำลงอย่างหนัก ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจลดลงมาก เช่น ในช่วงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา ที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากกว่า 30% ในช่วงเวลาเพียงแค่ 1 เดือน ซึ่งหากใครมีเงินสดในพอร์ตการลงทุนเหลืออยู่เยอะ ก็คงจะดีใจ เห็นโอกาสในการซื้อหุ้นที่มีราคาถูก ยกตัวอย่าง นักลงทุนระดับโลกอย่าง วอเร็น บัฟเฟตต์ เจ้าของบริษัท Berkshire Hathaway ก็เป็นนักลงทุนที่มักจะเหลือเงินสดไว้ในพอร์ตการลงทุน เพราะดูจากสถิติย้อนหลังบริษัท Berkshire Hathaway มักจะมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นโดยเฉลี่ยในสัดส่วนประมาณ 12% – 15% ของสินทรัพย์รวมมาโดยตลอด เนื่องจากหากไม่มีเงินสดติดพอร์ตไว้ เวลาที่เจอโอกาสการลงทุนที่ดีจริงๆ ก็จะพลาดโอกาสการลงทุนครั้งสำคัญไปได้ และเมื่อมีโอกาสนั้นมาถึง บริษัทจะต้องพร้อมที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้ให้ได้ ซึ่งถือว่าคุ้มค่า ทั้งนี้ วอเร็น บัฟเฟตต์ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การทุ่มเงินเข้าซื้อหุ้น Apple ในช่วงที่ผ่านมาทำกำไรให้บริษัทได้อย่างมากมาย
ในทางกลับกัน นักลงทุนชื่อดังอีกท่าน Ray Dalio ผู้ก่อตั้งและเป็นประธานของ Bridgewater Associates ซึ่งเป็นบริษัท Hedge Fund รายใหญ่ที่สุดของโลก กลับกล่าวว่า “Cash is trash” เปรียบเทียบว่าการถือเงินสดนั้นไร้ค่าเหมือนกับขยะ เพราะเงินสดจะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ ตามอัตราเงินเฟ้อ หากไม่นำเงินสดไปลงทุน และในขณะที่ธนาคารกลางในหลายๆ ประเทศใช้มาตรการ QE เพิ่มปริมาณเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเงินส่วนหนึ่งก็จะทยอยไหลเข้าสู่ตลาด ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หากเป็นไปตามความคิดนี้ ก็คงไม่ฉลาดนัก ถ้าจะถือเงินสดไว้
สำหรับนักลงทุนทั่วไปนั้น เราคงอยากจะมีเงินสดในพอร์ตการลงทุนน้อยๆ ในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น การถือเงินสดไว้มากเกินไปก็คงไม่ใช่เรื่องดี เพราะจะทำให้เสียโอกาสในการลงทุน และเราคงอยากจะมีเงินสดเยอะๆ ในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง จะได้เตรียมซื้อหุ้นที่ราคาถูก ซึ่งควรจะถือเงินสดเป็นสัดส่วนเท่าไรดีนั้น ก็คงแปรผันไปตามสถานการณ์ แต่สิ่งสำคัญ คือ เงินสดที่มีอยู่นั้นจะสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไรมากกว่า สำหรับกองทุนบัวหลวง เราเชื่อว่า การลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Staying Invested) นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง ประกอบกับการจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท และหลายประเทศ เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ทำให้เราไม่พลาดโอกาสการลงทุนที่ดี ซึ่งกองทุนบัวหลวงมีความมุ่งมั่นสรรหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง และในกรณีที่นักลงทุนไม่มีความชำนาญในการจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทด้วยตัวเอง ก็สามารถให้ผู้บริหารมืออาชีพที่ไว้วางใจดูแลเงินลงทุนให้กับท่านได้