Steve Bannon ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีทรัมป์ (White House Counsellor) หรือหัวหน้านักยุทธศาสตร์ของทำเนียบขาว (Chief Strategist) เป็นมันสมองของทรัมป์ เขาทำหน้าที่วางกลยุทธ ในช่วงที่ทรัมป์หาเสียง นโยบายชาตินิยมขวาจัดสุดขั้วเพื่อทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง อเมริกาเฟิร์ส นโยบายต่อต้านการค้าเสรี การถอนตัวจากข้อตกลงโลกร้อน การสร้างกำแพงเม็กซิโกล้วนแล้วแต่ผ่านการกลั่นกรองจากแบนนอน เขาทำให้รัฐบาลทรัมป์ดูมีความเป็นวิชาการและมีความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์
แบนนอนวางนโยบายให้ทรัมป์ให้กดดันบริษัทอเมริกันย้ายฐานผลิตกลับประเทศ ทั้งรัฐและเอกชนจะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อก่อให้เกิดการจ้างงาน จะมีการลดภาษีให้นิติบุคคลและบุคคลเพื่อกระตุ้นการลงทุนและการใช้จ่าย งบทหารจะไม่แตะ แถมจะเพิ่มให้ด้วยซ้ำเพื่อกดดันอิหร่าน รัสเซีย จีนและเกาหลีเหนือ
แต่แบนนอนตกกระป๋องโดนบีบออกไป หลังจากที่นายพลJohn Kelly เข้ามารับตำแหน่งChief of Staffที่ทำเนียบขาวในปีที่แล้ว และไม่ต้องการให้แบนนอนมายุ่มยามในนโยบายของทรัมป์
ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้วก่อนที่เขาจะถูกบีบออกจากทำเนียบขาว แบนนอนให้สัมภาษณ์ว่า สหรัฐกำลังทำสงครามเศรษฐกิจกับจีน และวอชิงตันกำลังแพ้ในสงครามนี้ แต่สหรัฐจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แต่จะตอบโต้อย่างรุนแรง เพราะจีนดำเนินการค้าอย่างไม่เป็นธรรม
“เรากำลังอยู่ในภาวะสงครามทางเศรษฐกิจกับจีน” แบนนอนกล่าว “มันปรากฎอยู่ในรายงานทั้งหมดของจีน พวกเขาไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวางใจที่จะบอกว่าพวกเขากำลังทำอะไร หนึ่งในพวกเราจะเป็นมหาอำนาจแต่ผู้เดียวในอีก25-30ปีข้างหน้า และจีนจะเป็นมหาอำนาจ ถ้าหากเรายังคงย่ำในแนวทางเดิมนี้อยู่
แบนนอนยอมรับว่า ถ้าสหรัฐยังคงแพ้สงครามเศรษฐกิจอยู่ โดยเวลาอยู่ห่างออกไปเพียง5ปี แต่เขาบอกว่าอีก10ปีจะถึงจุดฝีแตก เมื่อถึงเวลานั้นสหรัฐจะไม่สามารถฟื้นคืนทันที่จะสู้จีนได้ทางเศรษฐกิจ
ในแง่หนึ่งนโยบาย Make America Great Again หรือทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และสโลแกนAmerica First หรืออเมริกาต้องมาก่อนของทรัมป์ สะท้อนการยอมรับว่า สหรัฐกำลังถอยหลัง หรือพ่ายแพ้ต่อในทางเศรษฐกิจของจีนที่กำลังมาแรง
เศรษฐกิจของสหรัฐแม้จะยังคงเป็นเบอร์1ของโลก แต่มีอัตราการเจริญเติบโตที่2%-3% ต่อปี ในขณะที่จีนมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างน้อย6.5%อีก5ปีข้างหน้า ภายในปี2029 ขนาดเศรษฐกิจจีนจะแซงหน้าสหรัฐ
ความแตกต่างระหว่างสหรัฐกับจีน คือสหรัฐเป็นผู้ซื้อ หรือก่อหนี้เพื่อซื้อ แต่จีนเป็นผู้ผลิตและผู้ขาย อำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจจึงเอียงไปทางผู้ผลิตและผู้ขายมากกว่าผู้ก่อหนี้เพื่อซื้อในการบริโภค
ในขณะที่สหรัฐพึ่งพาการบริโภคเพื่อขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ และได้ย้ายฐานผลิตไปต่างประเทศ ทำให้มีการขาดดุลการค้าสูงเกือบ$600,000ล้านต่อปี จีนได้ผันตัวเองให้เป็นโรงงานของโลก ซับไพลสินค้าเกือบทุกอย่างให้ตลาดโลก ทำให้จีนมีความร่ำรวยขึ้นอย่างผิดหูผิดตาในช่วงเกือบ40ปีที่ผ่านมาหลังจากการเปิดประเทศ
จีนมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศกว่า$3ล้านล้าน และกำลังปรับเปลี่ยนนโยบายการลดการพึ่งพาการส่งออกมาเน้นการบริโภคภายใน พัฒนาภาคบริการ และเทคโนโลยี่ สร้างธุรกิจใหม่ๆผ่านนวัตกรรม การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ บวกกับการสร้างพันธมิตรผ่านโครงการเส้นทางสายไหมใหม่จะทำให้จีนผงาดกลายเป็นมหาอำนาจของโลกทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่21 และเงินหยวนจะเป็นเงินสกุลหลักที่สำคัญของโลก
สหรัฐ ซึ่งเน้นการบริโภคและภาคการเงินมากเกินไปในช่วงที่ผ่านมา ยังไม่ได้ลงทุนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเพื่อให้ตัวเองกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ทำให้แบนนอนมองเห็นว่า ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างอย่างจริงจัง สหรัฐจะพ่ายแพ้ต่อจีนในด้านเศรษฐกิจเป็นที่แน่นอนในอีก10ปีข้างหน้า