Highlight
- หุ้นโลกยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 3 กองทุนหลักยังคง Underweight หุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินและหุ้นในกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่อไปเพื่อลดความผันผวนของพอร์ตลง และพยายามเฟ้นหาหุ้นของบริษัทที่มีแนวโน้ม 1) ครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 2) ได้รับประโยชน์จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป 3) ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ การท่องเที่ยว และการบริโภคของชาวจีน
- หุ้นจีนยังคงเป็นองค์ประกอบที่กองทุนหลักให้ความสำคัญโดยเฉพาะที่จดทะเบียนอยู่ในตลาด A-Shares แต่ไม่ได้ลงทุนหุ้นจีนเพียงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเป็นการกระจายตัวลงทุนเพื่อให้ได้โมเดลด้านการทำธุรกิจในจีนที่หลากหลายไม่ได้กระจุกตัวอยู่เฉพาะในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งเพียงอย่างเดียว
- กองทุนหลักขายทำกำไรหุ้นอย่างมีวินัยและเฉียบคม ที่ผ่านมาได้ขายหุ้นของที่บริษัทที่มีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้และซื้อหุ้นของบริษัทที่ตลาดให้ค่าหรือประเมินค่าต่ำเกินไปในแง่ผลตอบแทนจากเงินลงทุนของกิจการ ส่งผลให้อัตราส่วนหมุนเวียนการลงทุนของกองทุนรวม (Portfolio Turnover Ratio) อยู่ที่ระดับ 115% ณ สิ้นเดือนต.ค. 2020
- อยากเน้นให้กับท่านผู้ถือหน่วยว่า ผลตอบแทนที่ได้รับจากพอร์ตของกองทุนหลัก มาจากมุมมองต่อหุ้นรายตัวที่ผู้จัดการกองทุนหลักได้ทำการวิเคราะห์หุ้นของบริษัทที่นักลงทุนมองข้ามหรือให้ค่ากับผลตอบแทนเทียบเงินลงทุนของบริษัทนั้นต่ำเกินไป การปรับเพิ่ม/หรือลดน้ำหนักการลงทุนรายประเทศหรือรายกลุ่มอุตสาหกรรมจากปัจจัยมหภาค Top-Down ไม่ได้เป็นกระบวนการที่ผู้จัดการกองทุนใช้
- สิ้นไตรมาส 3 ปี 2020 สัดส่วนรายอุตสาหกรรมที่มีการ Overweight มากที่สุดคือเฮลธ์แคร์ 19.0% (vs index 12.6%) รองลงมาคือเทคโนโลยี 25.8% (vs index 21.7%) สัดส่วนรายอุตสาหกรรมที่มีการ Underweight มากที่สุดคือ สินค้าจำเป็น 0.0% (vs index 8.0%) รองลงมาคือสถาบันการเงิน 8.6% (vs index 12.5%) ด้านการลงทุนจำแนกตามภูมิภาคมีสัดส่วนในอเมริกาเหนือ 69.5% ยุโรป 14.3% ตลาดเกิดใหม่ 9.8% ญี่ปุ่น 3.9% สหราขอาณาจักร 2.5%
มุมมองต่อหุ้น 5 อันดับแรกที่ส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 (ก.ค.-ก.ย. 2020)
1.บริษัท saleforce.com (สัดส่วนลงทุน 2.0%)
Sector: ไอที (Information Technology) สหรัฐฯ
ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้าน Customer relationship สัญชาติสหรัฐฯ ที่น่าสนใจเพราะตลาดประเมินผลตอบแทนเทียบเงินลงทุนต่ำเกินไป ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ บริษัทมีถึง 360 แพลตฟอร์มให้บริการกับบริษัทท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19
2. บริษัท Advanced Micro Devices (สัดส่วนลงทุน 0.3%)
Sector: ไอที (Information Technology) สหรัฐฯ
บริษัทเซมิคอนดักเตอร์สัญชาติสหรัฐฯ กองทุนหลักคาดว่าจะสามารถครองส่วนแบ่งตลาดในเซกเมนต์ของตนเองได้เป็นอย่างดี ที่ผ่านมามีการเข้าเทคโอเวอร์บริษัท Xilinx เข้าเสริมทัพ เพื่อก้าวเข้ามาเบียดส่วนแบ่งตลาดจากเบอร์หนึ่งอย่างบริษัท Intel ให้มากขึ้น กองทุนหลักขายทำกำไรในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น
3. บริษัท Alibaba (สัดส่วนลงทุน 2.5%)
Sector: สินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) จีน
ทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ กองทุนหลักถือครองเพราะมองธีมการเติบโตด้านการอุปโภคบริโภคภายในประเทศของชาวจีนและคาดว่าจะสามารถสร้างจากธุรกิจปัจจุบันได้ดีรวมถึงรายได้จากการแยกธุรกิจของ Ant financial ออกไป แม้ Ant Group จะเลื่อนเสนอขายส่วนหน่วยลงทุนเป็นครั้งแรก (IPO) ออกไปก็ตาม กองทุนหลักขายทำกำไรออกไปบ้างในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น
4. บริษัท Zalando (สัดส่วนลงทุน 0.6%)
Sector: แฟชั่น อี-คอมเมิร์ซ สินค้าอุปโภคบริโภคฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) เยอรมัน
มีแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซและโมเดลการทำธุรกิจที่แข็งแกร่งในยุโรป มีทีมบริหารที่แข็งแกร่ง มีการรุกตลาดแฟชั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ได้รับผลประโยชน์จากพฤติกรรมผู้บริโภคชาวยุโรปที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กองทุนหลักขายทำกำไรออกไปบ้างในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น
5. บริษัท Trane Tech (สัดส่วนลงทุน 0.7%)
Sector: อุตสาหกรรม (Industrial) สหรัฐฯ
ทำธุรกิจระบายความร้อนภายในตัวอาคาร ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานภายในตัวอาคาร ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศสหรัฐฯ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้รับความนิยมในที่ยังมีอัตราการเข้าถึงต่ำในตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะยอดสั่งซื้อในตลาดจีนและอินเดียเร่งตัว กองทุนหลักปรับลดน้ำหนักในช่วงที่ราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
มุมมองต่อหุ้น 5 อันดับแรกที่ส่งผลลบต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 (ก.ค.-ก.ย. 2020)
1.บริษัท Tesla (สัดส่วนลงทุน 0%)
Sector: สินค้าอุปโภคประเภทฟุ่มเฟือย (Consumer discretionary) สหรัฐฯ
กองทุนหลักไม่ได้ถือครอง ยอดส่งมอบรถแข็งแกร่ง เป็นที่ถกเถียงกันกันภายในทีมบริหารของกองทุนหลักว่าราคาหุ้นจะไปได้ต่ออีกหรือไม่ ด้วยระดับมูลค่าที่พุ่งขึ้นแรงมาก
2. บริษัท Baxter International (สัดส่วนลงทุน 1.7%)
Sector: เฮลธ์แคร์ (Health care) สหรัฐฯ
ผู้ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ เครื่องวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ติดตั้งในบ้าน มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง มีการลงทุนทางด้านวิจัยและพัฒนา แม้ไตรมาสที่ผ่านมาจะประกาศผลประกอบการออกมาไม่ดี แต่เมื่อมองทั้งปีถือว่าใช้ได้ เครื่องมือผ่าตัดอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้รับความนิยมเฉพาะช่วง COVID-19
3. บริษัท Illumina (สัดส่วนลงทุน 0.8%)
Sector: เฮลธ์แคร์ (Health care) สหรัฐฯ
ผู้นำด้าน Genetic sequencing ซึ่งเป็นธีมลงทุนในกลุ่ม Disruptive Technology ด้วยต้นทุนที่ลดลงจะช่วยให้ตลาดใหญ่ขึ้นกว่านี้หลายเท่าตัว กองทุนหลักปรับลดสัดส่วนบ้างแต่ยังชอบบริษัทนี้อยู่และจะถือต่อไป
4. บริษัท Slack Technologies (สัดส่วนลงทุน 0.6%)
Sector: ไอที (Information Technology) สหรัฐฯ
แพลตฟอร์มผู้ให้บริการด้านการสื่อสารทางธุรกิจ ได้รับประโยชน์จาก Work from Home กองทุนหลักซื้อตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์ COVID-19 กองทุนหลักปรับลดสัดส่วนและจะถือครองหุ้นส่วนที่เหลือต่อไป
5. Taiwan semiconductor (สัดส่วนลงทุน 0.0%)
Sector: ไอที (Information Technology) ไต้หวัน
กองทุนหลักไม่มีฐานะการถือครอง หุ้นขึ้นเพราะคาดว่าอุปสงค์ต่อเซมิคอนดักเตอร์จะเร่งตัว
ที่มา: Wellington Management, as of Sep 2020
Sector positioning
Regional positioning
รายชื่อหลักทรัพย์ลงทุน 10 อันดับแรกของกองทุนหลัก Wellington Global Opportunities Equity Fund
กลยุทธ์ลงทุนของ Wellington Global Opportunities Equity Fund
แสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวในหุ้นทั่วโลก ด้วยการวิเคราะห์หุ้นจากปัจจัยพื้นฐานและข้อมูลเชิงลึกของบริษัท ประกอบกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจมหภาค โดยพิจารณาจาก
- ผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (Return to Capital)
- งบการเงินและโครงสร้างของอุตสาหกรรมเพื่อหาบริษัทที่ให้ผลตอบแทนอย่างยั่งยืนและปรับตัวได้ดี
- โอกาสการลงทุนอันเกิดจากความไม่มีประสิทธิภาพของตลาด อย่างเช่น นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเติบโตของกำไรในระยะสั้นจนเกินไป
กราฟ: แสดงกระบวนการลงทุนของ Wellington Global Opportunities Fund ซึ่งคัดเลือกบริษัทลงทุนโดยพิจารณาบริษัทที่ตลาดคาดหวังผลตอบแทนต่อเงินลงทุนไว้ต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็น สาเหตุก็เนื่องมาจาก
- ตลาดให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านผลประกอบการและกำไรสุทธิของกิจการในระยะสั้น
- ตลาดไม่มีประสิทธิภาพ: เนื่องจากนักลงทุนสนใจให้ความสำคัญกับกลุ่มอุตสาหกรรมใดกลุ่มอุตสาหกรรมหนึ่ง หรือประเทศในประเทศหนึ่งมากเกินไป
- กองทุนเชื่อว่าผลตอบแทนต่อเงินลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนราคาหุ้นในตลาดของบริษัทจดทะเบียน
- ข้อมูลบริษัทที่เกี่ยวกับแนวทางการบริหารสินทรัพย์และแนวทางการจัดสรรเงินลงทุนจะเป็นตัวบ่งชี้ผลตอบแทนของบริษัทในอนาคต
กองทุนหลัก (Master Fund)
ชื่อ: Wellington Global Opportunities Equity Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class S
นโยบายการลงทุน: เป็นกองทุนที่จดทะเบียนในประเทศลักเซมเบิร์ก มีนโยบายลงทุนในหุ้นสามัญ รวมถึงหลักทรัพย์ต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นตราสารแห่งทุน เช่น หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ และใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงที่ออกโดยบริษัทต่างๆ ทั่วโลก
วันที่จดทะเบียน: กุมภาพันธ์ 2010
ประเทศที่จดทะเบียน: ลักเซมเบิร์ก
NAV: USD 25.15
เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): MSCI AC World Net
Morningstar Category: Large cap Growth
Bloomberg code: WLLGOAU LX
Fund size: USD 429.6 Million
Number of holdings: 105
Source: https://www.bblam.co.th/application/files/7516/0515/2491/Wellington_Global_Opp_Oct_2020.pdf
ผลการดำเนินงานกองทุนย้อนหลัง (ข้อมูลวันที่ 30 ต.ค. 2020)
ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต