ซีเอ็นบีซี รายงานว่า นักลงทุนรายใหญ่ต่างก็เทเงินลงทุนไปกับคลังสินค้าในยุโรป เป็นผลมาจากการชอปปิงสินค้าออนไลน์ ในช่วงหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
Savills บริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ เคยระบุไว้ในรายงานเมื่อเดือน ธ.ค. 2020 โดยอ้างถึงศูนย์วิจัยค้าปลีกว่า อี-คอมเมิร์ซ เติบโตอยู่แล้วก่อนการแพร่ระบาด จนกระทั่งมีโควิด-19 ซึ่งคนต้องอยู่ที่บ้านและปิดหน้าร้านค้า ทำให้การแพร่ระบาดยิ่งเร่งให้มีการปรับใช้อี-คอมเมิร์ซเร็วขึ้นอีกประมาณ 12 เดือน และความท้าทายของธุรกิจที่ต้องการเข้ามามีส่วนในเทรนด์นี้ คือ การหาช่องทางเติมเต็มคำสั่งซื้อให้เร็วที่สุด ซึ่งบริษัทที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่กระจายทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งระยะสั้น เป็นผลจากต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้นและต้องใช้ระยะเวลารอคอยนานขึ้น
Marcus de Minckwitz ผู้อำนวยการกลุ่ม omnichannel ในลอนดอนของ Savills กล่าวว่า กลยุทธ์ใหม่ที่ใช้กันคือ การหาคลังสินค้าใกล้ผู้บริโภคและเก็บสต๊อกไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อสามารถรับสินค้าที่ตัวเองสั่งได้ในเวลาเพียงไม่กี่วันหรือน้อยกว่านั้น เป็นเหตุผลที่ทำให้ความต้องการคลังสินค้าพุ่งขึ้น และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อัตราพื้นที่ว่างในยุโรปอยู่ในระดับต่ำประมาณ 5% เท่านั้น และอัตรานี้ก็มีแนวโน้มลดลงอยู่ โดยสิ่งที่เราเห็นในปี 2020 คือ มีการจับจองพื้นที่คลังสินค้าในยุโรปมากขึ้น นำโดยอังกฤษ มีผู้ขับเคลื่อนหลักคืออเมซอน และผู้ให้บริการโลจิสติกส์บุคคลที่ 3 รายอื่น
โดยรวมแล้วการลงทุนในโลจิสติกส์ของยุโรปปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเป็น 38,640 ล้านยูโร หรือประมาณ 46,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2013 จากข้อมูลของ Savills
de Minckwitz กล่าวว่า ยุโรปกำลังรอความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากผู้ให้บริการอี-คอมเมิร์ซจีนที่เข้าสู่ตลาด นำโดยอาลีบาบา ซึ่งที่ผ่านมาอาลีบาบาขยายอี-คอมเมิร์ซข้ามพรมแดนผ่านแพลตฟอร์มอาลีเอ็กซ์เพรส และบริษัทย่อย ไช่เหนี่ยว โลจิสติกส์แล้ว
ข้อมูลจากอาลีบาบา พบว่า อี-คอมเมิร์มข้ามพรมแดนเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้รายได้ของไช่เหนี่ยวอยู่ที่ 1,740 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสสุดท้ายปี 2020 เติบโตถึง 51% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการค้าระหว่างประเทศแบบค้าส่ง เพิ่มขึ้นถึง 53% เป็น 577 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาเดียวกัน