ซีเอ็นบีซี รายงานว่า กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลว่า ยอดขายอี-คอมเมิร์ซในสหรัฐฯ ปี 2020 เติบโตมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับปี 2019 ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาและการล็อคดาวน์ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ผลักดันให้นักชอปหันมาพึ่งพาผู้ค้าปลีกออนไลน์เพื่อซื้อสินค้าที่ต้องการ
ปีที่ผ่านมาคนอเมริกันใช้จ่าย 791,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บนออนไลน์ เพิ่มขึ้น 32.4% จากปี 2019 ขณะที่ยอดขายปลีกรวมในปี 2020 เพิ่มขึ้นเพียง 3.4% สะท้อนว่าผู้บริโภคมีพฤติกรรมเปลี่ยนมาซื้อสินค้าบนอี-คอมเมิร์ซมากขึ้น จึงทำให้การซื้อผ่านอี-คอมเมิร์ซมีสัดส่วนมากขึ้นในยอดค้าปลีกรวม โดย ณ สิ้นปี 2020 อี-คอมเมิร์ซ มีสัดส่วน 14% ของยอดขายรวม เพิ่มจาก 11% ในปี 2019
ผู้บริโภคเริ่มชอปปิงออนไลน์ตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาดจะเกิดขึ้นแล้ว แต่พวกเขายิ่งเข้ามาชอปออนไลน์มากขึ้นระหว่างที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากร้านค้าที่เปิดให้บริการต่างก็ปิด และผู้คนก็ต้องอยู่บ้านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด
จากข้อมูลพบว่า ยอดขายออนไลน์ที่เติบโตมากที่สุดจะเป็นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เมื่อเทียบกลุ่มสินค้าอื่นๆ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2020 ส่วนสินค้าอีกกลุ่มที่ผู้บริโภคมองหาคือสินค้าที่เกี่ยวกับงานอดิเรกใหม่ๆ และกิจกรรมที่จะทำให้พวกเขารู้สึกยุ่งและบันเทิงไปได้ในช่วงที่ต้องติดอยู่ที่บ้าน โดยสินค้ากลุ่มนี้ประกอบด้วย สินค้าอุปกรณ์กีฬา เครื่องเล่นดนตรี และหนังสือ พบว่ายอดขายเติบโตมากในไตรมาสที่ 2 ปี 2020
สำหรับ สินค้ากลุ่มอื่นที่ได้รับความสนใจซื้อออนไลน์สูงเช่นกัน คือ สินค้าที่เกี่ยวกับการปรับปรุงบ้าน เช่น เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ทำสวน อุปกรณ์ก่อสร้าง รวมถึงอุปกรณ์ส่วนตัวและสินค้าเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ