เดอะ สเตรทไทม์ส รายงานว่า ค่าขนส่งทางเรือพุ่งขึ้นในช่วงที่มีปัญหาเรือเกยตื้นกีดขวางคลองสุเอซ ซึ่งสร้างความเสียหายให้การค้าทางทะเลทั่วโลก และทำให้การเดินทางระยะไกลอ้อมแอฟริกากลายป็นทางเลือกเดียวในระยะสั้น
ทั้งนี้ บริษัทกู้เรือ เผยว่า เกิดปัญหาเรือขนส่งขนาดใหญ่ขวางทางในคลองสุเอซ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะจัดการได้ ซึ่งปัญหานี้ทำให้เรือทุกลำต้องหยุดการเข้ามาในคลองสุเอซตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมา
เรือซึ่งมีความยาวประมาณ 400 เมตร กำลังปิดกั้นการเดินทางทั้ง 2 ฟากในเส้นทางขนส่งทางเรือที่มีการใช้งานแน่นขนัดที่สุด สำหรับการขนส่งน้ำมันและเชื้อเพลิงกลั่น เมล็ดพืช รวมถึงการค้าอื่นๆ ที่เชื่อมโยงระหว่างเอเชียกับยุโรป อย่างไรก็ตามเรือขุดก็กำลังทำงานกันอย่างหนักหน่วงเพื่อที่จะกำจัดทรายหลายพันตันออกจากหัวเรือลำที่กำลังขวางกั้นคลองอยู่
การปิดกั้นคลองที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ส่งผลกระทบกับห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่กำลังเผชิญความตึงเครียดเพิ่มขึ้นจากการที่อี-คอมเมิร์ซเติบโตในช่วงที่มีการแพร่ระบาด เนื่องจากประมาณ 12% ของการค้าทั่วโลก ต้องขนส่งผ่านคลองสุเอซนี้ ถือเป็นช่องทางเชิงกลยุทธ์ที่มีความสำคัญต่อโลก
มีเรือหลายลำที่กำลังรอคิวในการผ่านเส้นทางนี้ ซึ่งยิ่งมีจำนวนเรือรอคิวมากเท่าไหร่ในคลอง ก็ยิ่งส่งผลต่อต้นทุนการขนส่ง ซึ่งในเวลานี้อัตราการขนส่งทางเรือก็พุ่งทะยานขึ้นอยู่แล้ว
ต้นทุนการขนส่งทางเรือ สำหรับตู้คอนเทนเนอร์ 40 ฟุต จากจีนไปยังยุโรป เพิ่มขึ้นเป็น 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ เพิ่มเกือบ 4 เท่าตัวจากปีที่แล้ว ขณะที่สินค้าที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤติคลองสุเอซครั้งนี้ เช่น การขนส่งกาแฟโรบัสตา ถั่วที่ส่งจากแอฟริกาตะวันออกและเอเชียไปยังยุโรป นอกจากนี้ยังมีก๊าซธรรมชาติเหลวจากสหรัฐฯ ที่มุ่งสู่ตลาดเอเชีย ซึ่งจำเป็นต้องไปอ้อมแอฟริกาเพื่อไม่ให้ติดอยู่ในคลองสุเอซ เป็นต้น
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าต้นทุนของเรือที่ติดขัดอยู่ในคลองสุเอซจากปัญหาที่เกิดขึ้น จะอยู่ที่ 9,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน ซึ่งเป็นการคำนวณจากการขนส่งสินค้าจากฝั่งตะวันตกและตะวันออกในแต่ละวัน