โดย…พริ้มพัชร จิรบวรพงศา, AFPT™
เมื่อกล่าวถึง Theme การลงทุนในอนาคต เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ น่าจะมองหาโอกาสจากการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) นับว่ามีความน่าสนใจมาก เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของทุกคน สังเกตได้จากความสะดวกสบายและความทันสมัยรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าอัจฉริยะไร้คนขับ การวินิจฉัยอาการเจ็บป่วยและโรคร้ายแรง โดยเฉพาะการให้บริการในรูปแบบฟินเทค (Financial Technology) ของสถาบันการเงินที่ AI ได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวทางด้านการเงิน เช่น การให้ข้อมูลผ่านระบบตอบรับอัตโนมัติ (Chatbot) การส่งผลการวิเคราะห์ทางด้านการเงินโดยอาศัยข้อมูลการทำธุรกรรม เพื่อช่วยตัดสินใจในการลงทุน เป็นต้น
นอกเหนือจากโอกาสที่ได้รับจากการลงทุนในหุ้นกลุ่ม AI แล้ว ยังมีโอกาสในการลงทุนอีกอย่างหนึ่งที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือการลงทุนในหุ้นของธุรกิจที่คาดว่าน่าจะมีการเติบโตจากแนวโน้มการบริโภคในอนาคต ด้วยเหตุนี้ กองทุนบัวหลวง จึงจัดตั้งกองทุนหุ้นต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่ม AI และหุ้นที่มีการเติบโตจากแนวโน้มการบริโภคในอนาคตขึ้นมา 2 กองทุน ได้แก่
1. กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ (B-FUTURE) เป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในต่างประเทศ ที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลักที่ชื่อว่า Allianz Global Investors – Artificial Intelligence และกองทุน Fidelity Funds – China Consumer Fund รวมถึงการลงทุนเพิ่มเติมในหน่วยลงทุนของกองทุน Wellington Fintech Fund ด้วย
2. กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นฟิวเจอร์เพื่อการออม (B-FUTURESSF) เป็น Feeder Fund ที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน B-FUTURE โดยจดทะเบียนเป็นกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Saving Fund : SSF) ซึ่งเป็นกองทุนรวมลดหย่อนภาษี
และล่าสุด กองทุนบัวหลวงก็ได้พิจารณาจัดตั้งขึ้นใหม่อีก 1 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นฟิวเจอร์เพื่อการเลี้ยงชีพ (B-FUTURERMF) เป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยเป็นการลงทุนแบบ Cross Investing Fund คือผู้จัดการกองทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุนต่างๆ ที่เห็นว่าเป็นเทรนด์ในอนาคตและมีการเติบโต โดยประมาณ 80% เป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่ม AI และ Fintech ส่วนอีก 20% ลงทุนผ่านหุ้นต่างประเทศโดยตรง กองทุนนี้จดทะเบียนเป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF)
จุดเหมือนของ 3 กองทุนนี้ คือ “นโยบายหลักในการลงทุน” ที่เน้นลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศ 2 กองทุนหลักเหมือนกัน โดยเป็นการลงทุนที่มีความเชื่อมั่นว่า โลกของเราจะขับเคลื่อนต่อไปด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ฟินเทค (Fintech) และจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการบริโภคในอนาคตจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ของจีน
นอกจากนี้ กองทุน B-FUTURE ซึ่งเป็นกองทุนเปิดทั่วไป และกองทุน B-FUTURESSF ซึ่งเป็นกองทุนลดหย่อนภาษีประเภท Super Saving Fund : SSF จะมีความเหมือนกันอีกอย่างตรงที่ มีนโยบายจ่ายเงินปันผล
ส่วนกองทุน B-FUTURERMF จะไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ซึ่งก็เป็นไปตามเงื่อนไขของกองทุนประเภท Retirement Mutual Fund : RMF ที่ทุกกองทุนจะไม่สามารถกำหนดให้มีนโยบายจ่ายเงินปันผลได้
จุดต่างของ 3 กองทุนนี้ คือ กองทุนแรก B-FUTURE เป็นกองทุนเปิดทั่วไปที่สามารถซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการ กำไรส่วนเกินทุน (Capital Gain) สำหรับบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี ในส่วนเงินปันผล (Dividend) จะต้องเสียภาษี โดยจะนำไปรวมเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีตามฐาน หรือว่าจะเลือกหัก ณ ที่จ่าย 10% เป็น Final Tax ก็ได้
ส่วนอีก 2 กองทุนที่เหลือคือ B-FUTURESSF และ B-FUTURERMF เป็นกองทุนที่จดทะเบียนเป็นกองทุนลดหย่อนภาษี ซึ่งจำกัดสิทธิสูงสุดในการลงทุนและต้องถือครองหน่วยลงทุนตามเงื่อนไขเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
ดังนั้น ข้อแนะนำในการเลือกลงทุนในกองทุนรวมกลุ่ม B-FUTURE นั้น นักลงทุนจะต้องเข้าใจเป้าหมายในการลงทุนของตัวเราเองก่อนว่า ถ้าหากเป้าหมายในการลงทุนคือ เน้นสร้างผลตอบแทน ไม่ต้องการรับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี และต้องการมีอิสระในการซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการ ขอแนะนำให้เลือกลงทุนในกองทุนรวม B-FUTURE ซึ่งเป็นกองทุนเปิดทั่วไป
แต่ถ้าหากเป้าหมายในการลงทุนคือ เน้นสร้างผลตอบแทน และต้องการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ก็อาจพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุน B-FUTURESSF หรือ B-FUTURERMF ซึ่งผู้ลงทุนจะต้องพิจารณาเงื่อนไขการลงทุนของกองทุนลดหย่อนภาษีว่ากองทุนประเภทไหน? ตอบโจทย์เรามากกว่ากันระหว่าง SSF และ RMF
กองทุน B-FUTURESSF มีนโยบายจ่ายเงินปันผลเหมือนกับกองทุน B-FUTURE แต่ต้องซื้อขายและถือครองหน่วยลงทุนตามเงื่อนไขของกองทุนประเภท SSF เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยจะต้องถือครองหน่วยลงทุนไว้อย่างน้อย 10 ปีนับแบบวันชนวัน
ส่วนกองทุน B-FUTURERMF เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว โดยมีเป้าหมายเพื่อการเกษียณ เมื่อลงทุนแล้วจะต้องถือครองหน่วยลงทุนไว้อย่างน้อย 5 ปีแบบวันชนวันโดยนับจากเงินลงทุนก้อนแรก และ มีการลงทุนในกองทุนประเภท RMF อย่างน้อย 5 ปีลงทุน และ ขายคืนเมื่อผู้ลงทุนมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ (โปรดศึกษาข้อมูลจากคู่มือภาษี)