รายงานข่าวจากซีเอ็นบีซี ระบุว่า Henrietta Fore ผู้อำนวยการบริหารองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ (UNICEF) ได้ออกมาเรียกร้องให้กลุ่มประเทศ G7 ประกอบด้วย สหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น บริจาควัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับโครงการ COVAX ซึ่งเป็นมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนวัคซีนหลังการส่งออกวัคซีนจากอินเดียหยุดชะงัก
อินเดียซึ่งเคยให้คำมั่นว่าจะส่งวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตโดย Serum Institute ให้กับโครงการ COVAX นั้น ได้ระงับการส่งออกวัคซีนเพื่อนำมาใช้ในประเทศก่อน หลังเกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 ครั้งใหญ่
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ทางยูนิเซฟ ซึ่งทำหน้าที่จัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ผ่านโครงการ COVAX ประเมินว่าจะขาดแคลนวัคซีน 140 ล้านโดส ภายในสิ้นเดือน พ.ค. และเพิ่มเป็น 190 ล้านโดสภายในสิ้นเดือน มิ.ย.
การแบ่งปันวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีอยู่เกินนั้น เป็นมาตรการฉุกเฉินขั้นต่ำสุดและเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำทันทีเพื่อที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ประเทศที่อ่อนแอกลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดใหญ่แห่งใหม่ของโลก
จากข้อมูลวิจัยใหม่ของบริษัทวิเคราะห์และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ Airfinity ทำให้ เขา มองว่า กลุ่มประเทศ G7 สามารถบริจาควัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ประมาณ 153 ล้านโดส โดยแบ่งปันวัคซีนเพียง 20% ของปริมาณวัคซีนที่มีอยู่ในเดือน มิ.ย.-ส.ค. ทั้งนี้ ยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวสามารถทำได้จริงและยังคงเป็นไปตามเป้าหมายการฉีดวัคซีนให้กับพลเมืองตนเอง
สำหรับโครงการ COVAX ดำเนินงานโดยความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีนหรือกาวี (GAVI) โดยพึ่งวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าเป็นส่วนใหญ่ และมีเป้าหมายที่จะจัดหาวัคซีนให้ได้ 2,000 ล้านโดส ในปีนี้