ประเทศจีน: ความท้าทายด้านโครงสร้างประชากร และนัยในเชิงการลงทุน

ประเทศจีน: ความท้าทายด้านโครงสร้างประชากร และนัยในเชิงการลงทุน

BF Economic Research

ประเทศจีน: ความท้าทายด้านโครงสร้างประชากร และนัยในเชิงการลงทุน

จีนเคยเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจจากการปันผลทางประชากร (Demographic Dividend) ในช่วงปี 1980-1995  แต่ในขณะนี้ ข้อได้เปรียบเชิงประชากรนั้นเริ่มจะหมดไป จากพลวัตประชากร (Demographic Dynamics) ที่ถูกกระทบสืบเนื่องจากนโยบายลูกคนเดียวของประเทศในทศวรรษ 1980s  เป็นผลส่งต่อไปยัง นัยทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ เพราะการเพิ่มของประชากรมีแนวโน้มชะลอลง ขณะที่สัดส่วนของผู้สูงอายุปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

สัดส่วนของประชากรในจีนกลับมาเป็นประเด็นที่ได้รับการอภิปรายอย่างกว้างขวาง จากที่รัฐบาลจีนเพิ่งจะได้ประกาศสำมะโนประชากรครบรอบทศวรรษ (Decennial Census) เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยสำมะโนประชากรจีนนั้นจะจัดทำทุกๆ 10 ปี  จึงมีความสำคัญต่อการวางแผนทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต สำมะโนประชากรแห่งชาติในรอบนี้เป็นการจัดทำครั้งที่ 7 ของจีนเป็นการปิดรอบการสำรวจ ณ เดือน ธ.ค. 2020 และเผยแพร่ในเดือนพ.ค. 2021

ประเด็นสำคัญของการสำรวจสำมะโนประชากรในรอบ 10 ปีนี้มีดังนี้

  1. ในปี 2020 จีนมีประชากรเพิ่มขึ้น 5.38% สู่ 1,412 ล้านคน จาก 1,340 ล้านคนเมื่อปี 2010  หรือคิดเป็นอัตราเติบโตต่อปีที่ 0.53% สะท้อนว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีลดลง 0.04 %  เมื่อเทียบกับทศวรรษก่อนที่โตเฉลี่ย 0.57% ต่อปี และเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ที่ได้เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลสำมะโนประชากรในปี 1953

 

2. ในปี 2020 มีทารกเกิดในประเทศจีนทั้งสิ้น 12 ล้านคนเป็นการลดลง 4 ปีติดต่อกัน โดยในปี 2019 มีทารกเกิด 14.65 ล้านคน ทั้งนี้อัตราการเกิดสูงสุดอยู่ในช่วง 1960s

3. อัตราการเจริญพันธุ์ของจีน (Fertility Rate)—จำนวนบุตรโดยเฉลี่ยต่อสตรี 1 คน —อยู่ที่ 1.3 คน (ทั้งนี้อัตราการเจริญพันธุ์ของญี่ปุ่นอยู่ที่ 1.36 คน ขณะที่สหภาพยุโรปอยู่ที่ประมาณ 1.5 คน)

4. สำมะโนประชากรปัจจุบันระบุว่าจีนมีประชากรชาย  723.34 ล้านคนมากกว่าประชากรหญิงที่ 688.44 ล้านคนหรือคิดเป็นสัดส่วน 1.05:1  เนื่องด้วยตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980s จีนมีระบบที่เข้มงวดในการอนุญาตครอบครัวมีลูกเพียงคนเดียวต่อครอบครัว (One-child Policy) ผลที่ตามมาที่สำคัญประการหนึ่งคือเกิดการทำแท้งแบบเลือกเพศ ส่งผลให้ประชากรเพศชายมีจำนวนมากกว่าเพศหญิง ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลจะผ่อนคลายเกณฑ์ลูกคนเดียวนี้ในปี 2016 แต่ก็พบว่าครอบครัวลังเลที่จะมีลูกมากกว่า 1 คน อีกทั้งผู้หญิงจีนที่มีการศึกษา หน้าที่การงานดี ก็มีแนวโน้มเลื่อนการแต่งงานออกไป อีกทั้งบางส่วนเลือกที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าจะแต่งงาน ทั้งนี้แม้ว่าจำนวนประชากรชายจะยังมากกว่าประชากรหญิงแต่ก็พบว่าสัดส่วนชายต่อหญิงได้ปรับลดระดับลงมาเรื่อย ๆ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี

สิ่งที่สะท้อนในสำมะโนประชากรจีนรอบนี้ไม่เพียงแต่จะชี้ให้เห็นถึงการลดลงของการเพิ่มจำนวนประชากรในจีนเท่านั้น แต่ยังฉายภาพความท้าทายเชิงประชากรในอนาคตด้วย เช่น

1.สังคมผู้สูงวัย (Ageing Society) กำลังเข้าใกล้จีนมาทุกขณะ จากตัวเลขการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2020 พบว่าในประเทศจีนมีประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปประมาณ 264 ล้านคน คิดเป็น 18.7% ของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2010 ที่  13.3%  มีการคาดการณ์ว่าประชากรในกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านคนภายในปี 2025 และมากกว่า 400 ล้านคนภายในปี 2033

2. ในทศวรรษหน้า เด็กที่เกิดภายใต้นโยบายลูกคนเดียวจะต้องรับมือกับปัญหาครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับการดูแลพ่อแม่ แม้ว่าชาวจีนจะมีระบบประกันสังคม แต่ในทางปฏิบัติมีผู้สูงวัยบางส่วนไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆจากรัฐ หรือแม้กระทั่งจากครอบครัวตัวเอง ถือว่าเป็นต้นทุนทางสังคมของจีนที่ปรับขึ้นเรื่อย ๆ และไม่ว่าระบบรัฐสวัสดิการของจีนจะครอบคลุมประชากรทุกคนหรือไม่ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาระนี้จะต้องตกอยู่รับรัฐบาลผ่านการเร่งตัวของค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมในอนาคต

ในความท้าทายก็มีข้อดีที่ประชากรจีนส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาในขั้นที่สูงขึ้นและศึกษานานขึ้น โดยจำนวนผู้เข้ารับการศึกษาในระดับอุดมศึกษาในจีนในรอบทศวรรษนี้อยู่ที่ 15.5 คนต่อ 100 คน จากทศวรรษก่อนที่ 8.9 คนต่อ 100 คน ส่วนจำนวนปีที่อยู่ในโรงเรียนสำหรับประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปอยู่ที่ 9.91 ปีจากทศวรรษก่อนที่ 9.08 ปี

สืบเนื่องจากสำมะโนประชากรที่ได้เผยแพร่ในช่วงต้นเดือน พ.ค. ข้อมูลจากสำนักข่าว Bloomberg เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ได้ระบุว่า รัฐบาลจีนจะอนุญาตให้คู่สมรสมีลูกคนที่สาม (Third-child Policy) เพื่อแก้ไขปัญหา อัตราการเกิดที่ลดลงและประชากรสูงอายุที่เสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศ ทั้งนี้ Bloomberg ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนว่าเกณฑ์การอนุญาตมีบุตรจะเป็นเช่นไร แต่ก็มีเสียงร่ำลือว่าทางการจีนกำลังพิจารณาหลายเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งปรับเกณฑ์การกำหนดอายุเกษียณออกไปด้วย ซึ่งแม้ว่าจะเริ่มมีสัญญาณที่ดีในเชิงนโยบายออกมา แต่ในแง่การปฏิบัตินั้นก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านประชากรศาสตร์ว่า ทางการจีนจะต้องทำบูรณาการในเชิงมาตรการสนับสนุนการมีลูกทั้งระบบ เช่น Prof. Liang Jianzhang ได้กล่าวว่าหากทางการจีนต้องการจะเพิ่ม Fertility Rate เป็น 2.1 คนจากเดิม 1.3 คน รัฐบาลอาจจะต้องจัดสรรงบประมาณราว 10% ของ GDP จีน (GDP จีนอยู่ที่ราว 15 ล้านล้านดอลลาร์ฯ) เพื่อกระตุ้นให้ครอบครัวอยากมีลูก และอาจจะต้องพิจารณามาตรการจูงใจในด้านอื่นๆ ไปด้วยกัน

Citi ได้ระบุว่านัยเชิงการลงทุน (Investment Implication) ที่น่าสนใจสำหรับประเทศจีนในยุคข้างหน้าภายใต้ความท้าทายเชิงประชากร ดังนี้    1) การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนจะต้องเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ; 2) ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมจะมาจากประสิทธิภาพของแรงงานมากกว่าจำนวนแรงงาน; 3) ระบบ Automation จะถูกนำมาใช้ในการผลิตมากขึ้น; 4) นวัตกรรมจะมีความสำคัญมากกว่าที่เคย; 5) การปฏิรูประบบการเกษียณอายุจะเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับจีนและ 6) การเตรียมความพร้อมสำหรับการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้นและการดูแลผู้สูงอายุคือโอกาสทางธุรกิจ

นัยเชิงการลงทุนดังกล่าวจึงแปลงมาเป็น Theme การลงทุนที่สอดคล้องกระแสปัจจุบันและผนวกเข้าสู่กระแสอนาคตของจีนซึ่งได้แก่

  1. กลุ่ม Consumer โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์ได้แก่กลุ่ม Dairy Products, อาหารเสริม, Sportswear และการท่องเที่ยว
  2. กลุ่ม Healthcare โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์ได้แก่กลุ่ม Large Pharma, Internet Healthcare และการให้บริการดูแลผู้สูงวัย
  3. กลุ่ม Industrial Automation ได้แก่ กลุ่ม AI
  4. กลุ่ม Insurance โดยเฉพาะกลุ่มที่มุ่งเน้น Pension และ Long-term Care Insurance