CNBC รายงานว่า ท่ามกลางการแนะนำหุ่นยนต์ที่ทำงานอยู่ในสถานที่ทำงาน มีบ่อยครั้งที่เราจะได้ยินคำถามตามมาคือ หุ่นยนต์เหล่านี้จะมาแทนที่มนุษย์หรือไม่ ซึ่งอเมซอนออกมาโต้แย้งเรื่องนี้ โดยชี้ว่า การมีหุ่นยนต์ทำงานจะช่วยให้คนทำงานไปมุ่งเน้นในงานที่ต้องการความสนใจมากที่สุด ขณะเดียวกันก็ลดโอกาสในงานที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ ซึ่งอเมซอนก็มีการเพิ่มคนทำงานไปมากกว่า 1 ล้านงานทั่วโลก นับตั้งแต่เริ่มใช้หุ่นยนต์ในสถานที่ในปี 2012
ทั้งนี้ เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา อเมซอนประกาศเป้าหมายลดตัวเลขการบาดเจ็บลงให้ได้ 50% ภายในปี 2025 โดยมีแผนลงทุนมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโครงการความปลอดภัยในปีนี้ นอกจากนี้อเมซอนยังอธิบายไว้ในบล็อคเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า อเมซอนกำลังทดสอบการใช้หุ่นยนต์ 4 รุ่น เคลื่อนย้ายของทั่วทั้งศูนย์ปฏิบัติงาน และทำงานใกล้ชิดกับคนทำงาน
หุ่นยนต์เหล่านี้ ได้แก่ หุ่นยนต์ Ernie ทำหน้าที่ช่วยนำสิ่งของออกจากชั้นวางหุ่นยนต์ ทำให้พนักงานไม่ต้องเข้าไปทำกระบวนการนี้ โดยกระบวนการนี้ไม่ได้ทำให้ประหยัดเวลาขึ้น แต่มีตัวบ่งชี้ว่าช่วยให้พนักงานทำงานได้ปลอดภัยยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีหุ่นยนต์ Bert หนึ่งในหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMRs) ตัวแรกของอเมซอน ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อนำทาง อำนวยความสะดวกอย่างอิสระ ในขณะที่คนทำงานเคลื่อนที่อยู่รอบๆ ไม่เหมือนกับหุ่นยนต์ตัวอื่น โดย Bert ไม่ต้องถูกจำกัดให้อยู่ในพื้นที่ใด หมายความว่า คนทำงานสามารถขอให้หุ่นยนต์ไปนำสิ่งของข้ามพื้นที่ในโรงงานได้ ซึ่งส่วนใหญ่ Bert จะถูกใช้ให้เคลื่อนย้ายสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก
สำหรับ หุ่นยนต์อีก 2 ตัว ได้แก่ Scooter และ Kermit ซึ่งเป็นหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติที่ถูกพัฒนาภายใต้กลุ่มการขนส่งของ โดยอเมซอนระบุว่า หุ่นยนต์กลุ่มนี้จะถูกควบคุมโดยพนักงาน ใช้ในการเคลื่อนย้ายหีบห่อเปล่าในพื้นที่ ทำให้พนักงานสามารถไปมุ่งเน้นงานที่ต้องใช้ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและลดการทำงานที่ต้องใช้กำลังกายลงได้
อเมซอน ระบุว่า Kermit จะติดตามเทปแม่เหล็กเพื่อเคลื่อนย้ายกล่องเปล่า โดยหุ่นยนต์ตัวนี้อยู่ในช่วงการพัฒนา และจะนำมาใช้ในโรงงานอย่างน้อย 12 แห่งในอเมริกาเหนือภายในปีนี้ และอเมซอน ระบุว่า มีแผนจะใช้ Scooter ในโรงงานอย่างน้อย 1 แห่ง ภายในปีนี้