Highlight
- กองทุนบัวหลวงมีมุมมองเชิงบวกกับตลาดหุ้นไทย โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) น่าจะฟื้นตัวได้ในปลายปีนี้ โดยมีปัจจัยสำคัญมาจาก การฉีดวัคซีนที่เพิ่มมากขื้นและจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดที่ลดลง จนรัฐบาลผ่อนคลายมาตรเข้มงวดในเดือนตุลาคมเปิดให้กลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ตามปกติ จะช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ
- ผู้จัดการกองทุนให้น้ำหนักกับธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่ให้ความระมัดระวังมากขึ้นกับธุรกิจที่ผลประกอบการมีโอกาสถูกกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวใกล้เคียงกับตลาดหุ้นโลก โดยได้รับอิทธิพลจากความกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ในประเทศ มีปัจจัยกดดันจากประเด็นการชุมนุมทางการเมือง ที่มีมาอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มยืดเยื้อ อย่างไรก็ดี ยังมีแนวโน้มไม่รุนแรง ด้านเศรษฐกิจไทย เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจต่างๆ ปรับตัวดีขึ้นในวงกว้าง ยกเว้น ภาคการท่องเที่ยว
ในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐฯได้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการใช้จ่าย และการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งช่วยประคับคองเศรษฐกิจในระหว่างที่นักท่องเที่ยวยังไม่สามารถกลับมาได้ โดยมาตรการทางการคลังจะยังคงมีความจำเป็นและมีบทบาทมากขึ้นในช่วงต่อจากนี้
แนวโน้มตลาดหุ้นไทย
กองทุนบัวหลวงมีมุมมองเชิงบวกกับตลาดหุ้นไทย โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) น่าจะฟื้นตัวได้ในปลายปีนี้ โดยมีปัจจัยสำคัญมาจาก การฉีดวัคซีนที่เพิ่มมากขื้นและจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดที่ลดลง จนรัฐบาลผ่อนคลายมาตรเข้มงวดในเดือนตุลาคมเปิดให้กลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ตามปกติ จะช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ
ปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น ได้แก่
- การเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวและเดินทาง มีกลับมามีรายได้
- การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในวงกว้างมากขึ้น จะทำให้การค้าโลกกลับมาขยายตัว และส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย
- ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มพลังงาน (น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และโรงกลั่น)
- นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาส่งในตลาดหุ้นอาเซียนโดยเฉพาะไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ซึ่งราคาหุ้นยังปรับขึ้นมาน้อย และมีมูลค่าที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นๆ
ปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทย
- สภาพคล่องทางการเงินมีแนวโน้มลดลงจากการเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐ และประเทศอื่นๆ โดยลดการผ่อนคลายและลดการอัดฉีดสภาพคล่อง
- อัตราเงินเฟ้อที่ดีดตัวสูงขึ้นรวดเร็ว อันเป็นผลมาจากอุปสงค์การบริโภฟื้นตัวได้ดี ในขณะอุปทานจากภาคการผลิตและการขนส่งบางส่วนยังไม่สามารกลับมาสู่ภาวะปกติได้
- COVID กลับมาระบาดใหม่จากเปิดเมือง เปิดประเทศ และไวรัสกลายพันธุ์
กลยุทธ์การลงทุน
ผู้จัดการกองทุนให้น้ำหนักกับธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่ให้ความระมัดระวังมากขึ้นกับธุรกิจที่ผลประกอบการมีโอกาสถูกกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ผลการดำเนินงานของกองทุน BKIND ณ 29 ตุลาคม 2564
ตัวอย่างโครงการที่กองทุนให้การสนับสนุนและรายละเอียดของโครงการ
โดย จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์
“โครงการบั๊ดดี้โฮมแคร์ (Buddy Homecare) กลไกดูแลผู้สูงอายุยากไร้ เป็นตัวอย่างหนึ่งของโครงการดีๆ ที่กองทุน BKIND เข้าไปสนับสนุน โดยโครงการนี้มีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ได้พร้อมกันถึง 2 ประการในคราวเดียว ทั้งในแง่การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในทุกช่วงอายุ รวมทั้งการจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สำหรับบั๊ดดี้โฮมแคร์ เป็นกิจการเพื่อสังคม ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา 2 ด้านได้ในคราวเดียวกัน ทั้งปัญหาผู้สูงอายุยากไร้ที่ขาดคนดูแล และปัญหาเด็กชนเผ่าที่ขาดโอกาสทางการศึกษา
การดำเนินงานของโครงการนี้ คือ เข้าไปสนับสนุนโอกาสให้เด็กชนเผ่าได้เข้าฝึกอบรมวิชาชีพเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ พร้อมกลับมาทำงานร่วมกับบั๊ดดี้โฮมแคร์ ในการให้บริการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่ครอบครัวมีศักยภาพในการจ่ายค่าบริการและต้องการคนดูแลที่บ้าน โดยจะนำกำไรที่ได้จากการให้บริการไปจัดบริการเยี่ยมผู้สูงอายุยากไร้ และให้เด็กชนเผ่าที่ขาดโอกาสมาร่วมเป็นอาสาสมัครในการดูแล นับเป็นประโยชน์ทั้ง 2 ด้านที่สมควรอย่างยิ่งที่จะให้การสนับสนุน
โดยที่กองทุน BKIND ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่เข้าไปสนับสนุนโครงการนี้ตั้งแต่ปี 2562 ด้วยงบประมาณ 700,000 บาท ซึ่งบั๊ดดี้โฮมแคร์ นำไปใช้เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ พร้อมคัดเลือกเด็กชนเผ่าที่ขาดโอกาสและสนใจสมัครเรียนต่อหลักสูตรประกาศนียบัตร ผู้ช่วยพยาบาล 1 ปี เข้ามาร่วมโครงการรวม 3 คน นอกจากนี้ยังจัดอบรมปฏิบัติการดูแลผู้สูงอายุเบื้องต้น หลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุ ในช่วงระหว่างวันที่ 16 พฤศจิกายน 2562 – 8 มีนาคม 2563 มีผู้สำเร็จการอบรมครั้งนี้ 6 คน
ไม่เพียงเท่านี้ ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 บั๊ดดี้โฮมแคร์ ยังดำเนินการเพิ่มเติมไปจากภารกิจหลักที่ทำ ได้แก่ จัดทำสื่อเผยแพร่เพื่อให้ความรู้ในการปฏิบัติตัวในช่วงที่ไวรัสแพร่ระบาดที่ถูกต้องตามหลักมาตรฐานสากลขององค์การอนามัยโลก (WHO) แก่อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน และลงพื้นที่ไปมอบถุงยังชีพ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้สูงอายุที่ยากไร้ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ และพี่น้องชนเผ่าชาติพันธุ์ บ้านขุนแปะ เพื่อให้มีความมั่นคงทางด้านอาหาร
ขณะเดียวกัน ยังผลิตสื่อออนไลน์ Blink to speak ภาษาดวงตา เพื่อช่วยผู้ที่มีอาการอัมพฤกษ์อัมพาต โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคหลอดเลือดสมอง โรคพาร์กินสัน และโรคที่มีความผิดปกติของระบบประสาท ให้สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้เพียงใช้ดวงตา
โดยรวมแล้ว โครงการนี้มอบประโยชน์ให้ทั้งเยาวชนที่ขาดโอกาส ทำให้คนเหล่านี้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพของตัวเอง เพื่อให้มีอาชีพทำกิน พึ่งพาตนเองได้ ขณะเดียวกันยังช่วยให้ผู้สูงอายุที่ยากไร้ มีโอกาสเข้าถึงการมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากการที่มีเยาวชนชนเผ่าเข้าไปเป็นอาสาสมัครช่วยดูแล ส่วนผู้สูงอายุที่มีกำลังทรัพย์ ก็ได้เข้าถึงบริการดูแลที่ดี และมีส่วนร่วมส่งมอบความสุขคืนให้ผู้สูงอายุที่ยากไร้ได้
ทั้งนี้ บั๊ดดี้โฮมแคร์ ไม่ได้หยุดแผนการพัฒนาที่ดีอยู่เพียงเท่านี้ แต่ยังวางเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ทั้งการขยายอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุให้กับเยาวชนชาวเขา การขยายพื้นที่ในการดูแลผู้สูงอายุบนดอย รวมทั้งขยายการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน 6 พื้นที่ และที่สำคัญที่สุดคือ จะทดลองขยายการให้บริการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในกรุงเทพฯ ในปีนี้ด้วย”
Disclaimer: เอกสารนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องครบถ้วน หรือความสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวได้ และบริษัทฯ อาจเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เอกสารนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน มิได้มีวัตถุประสงค์ชักชวน ชี้นำ ให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจลงทุนทางการเงิน หรือการตัดสินใจในทางธุรกิจแต่อย่างใด ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังและวิจารณญาณจากการใช้ข้อมูลบางส่วนหรือทั้งหมดของเอกสารฉบับนี้ ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต