โดย…พริ้มพัชร จิรบวรพงศา, AFPTTM
ในช่วงปลายปีของทุกๆ ปี นักลงทุนมักจะวางแผนลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี แต่สำหรับปีนี้ อยากจะให้ทุกคนหันมาทบทวนแผนการเงินของตัวเองด้วย โดยเฉพาะคนที่มีครอบครัวหรือเป็นเสาหลักในการดูแลครอบครัว เพราะจากสถานการณ์โควิดในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้การเงิน การลงทุน ของเราเปลี่ยนไปเยอะอยู่พอสมควร โดยที่เห็นได้ชัดคือ รายรับหรือรายได้ลดลง แต่รายจ่ายยังอยู่เหมือนเดิม
ดังนั้น ในภาพรวมคนของส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบทางการเงินกันทั้งนั้น ตั้งแต่การหารายได้ การจับจ่ายใช้สอย การออม รวมไปถึงการลงทุนด้วย ซึ่งสำหรับคนที่ยังไม่มีครอบครัว หรือไม่ต้องดูแลเรื่องการเงินของคนอื่นๆ ก็อาจจะปรับตัวได้ง่ายหน่อย โดยปรับเรื่องของการใช้จ่าย การออม และการลงทุนของตัวเองให้เหมาะสมกับรายได้ที่มีในปัจจุบัน เช่น ปรับแผนลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายใหม่ที่เปลี่ยนไป ปรับแผนลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี SSF และ RMF ให้สอดคล้องกับรายได้ในปีนี้ จะเห็นได้ว่า คนที่ไม่มีครอบครัวสามารถปรับตัวได้ง่ายกว่า
แต่สำหรับคนที่มีครอบครัว หรือเป็นเสาหลักในการหารายได้เพื่อดูแลคนอื่นๆ เป็นต้องพิจารณาทบทวนและปรับแผนการเงินใหม่ โดยเฉพาะแผนใช้จ่าย และแผนลงทุนเพื่อเป้าหมาย ซึ่งสามารถเริ่มด้วยการทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพราะจะช่วยให้สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เรารู้สถานะการเงินของตัวเอง และสามารถวางแผนการใช้เงินของครอบครัวได้ดียิ่งขึ้น หลักๆ แล้วก็เพื่อให้เราสามารถประเมินได้ว่า รายจ่ายใดจำเป็น รายจ่ายใดไม่จำเป็น ซึ่งในส่วนของรายจ่ายที่ไม่จำเป็นนั้นแนะนำให้ปรับลด และพูดคุยกันในครอบครัว เพื่อให้ครอบครัวของเราผ่านสถานการณ์นี้ไปได้
นอกเหนือจากการควบคุมค่าใช้จ่ายแล้ว ในแต่ละครอบครัวก็สามารถหารายได้เสริมเพิ่มเติมได้ด้วยเช่นกัน โดยอาจจะเริ่มต้นจากการใช้ทักษะที่เรามี ไม่ว่าจะทักษะทางภาษา ทักษะการทำอาหาร ควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เข้ามาเป็นสื่อกลางในการให้บริการหรือค้าขาย เช่น รับแปลภาษา หรือทำอาหารขายในหมู่บ้าน เป็นต้น
ส่วนในเรื่องของการลงทุน ก็อาจจะต้องพิจารณาทบทวนแผนกันใหม่ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า สถานการณ์โควิดทำให้หลายๆ อย่างในชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นสถานะการเงิน รวมถึงรูปแบบการใช้ชีวิต ทั้งชีวิตของตัวเราเองที่ต้อง Work from Home กันมากขึ้น หรือจะเป็นชีวิตของคนในครอบครัว เช่น ลูกๆ ก็ต้องเปลี่ยนมาเรียนออนไลน์ ทำให้บางครอบครัวอาจเลือกทำ Home School แทนการไปโรงเรียนไปเลย ซึ่งการที่เป้าหมายการศึกษาลูกเปลี่ยนไป แผนการเงิน การลงทุน ก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนการศึกษา ยังคงต้องเน้นจัดพอร์ตลงทุนให้มีความเสี่ยงต่ำหรืออย่างมากก็ปานกลางค่อนข้างต่ำ เพราะเป็นแผนการศึกษามีความสำคัญมาก จึงต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง แต่ในกรณีที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง อย่างกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่กำลังเป็นเทรนด์ระยะยาวของโลกในตอนนี้ ถามว่าสามารถลงทุนได้ไหม? คำตอบคือ“ลงทุนได้” แต่ให้พิจารณาลงทุนในสัดส่วนที่ไม่มากเกินไปนัก และคิดเผื่อเรื่องความผันผวนจากการลงทุนที่อาจกระทบต่อแผนการศึกษาของลูกที่มีความสำคัญ
นอกจากจะทบทวนแผนการลงทุนแล้ว ในส่วนสุดท้ายที่ต้องทบทวนด้วยก็คือ แผนความคุ้มครอง เพราะจากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา เราเห็นแล้วว่า “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” ดังนั้น เราอาจพิจารณาทำความคุ้มครองอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อเป็นการถ่ายโอนความเสี่ยง โดยพิจารณาในเรื่องความคุ้มครองรายได้ คุ้มครองดูแลสุขภาพ และคุ้มครองโรคภัยต่างๆ รวมถึงโควิดให้มากขึ้น ซึ่งตรงนี้อยากให้เน้นที่ตัวเราเองให้มากขึ้น เพราะเราต้องตระหนักเสมอว่า เราคือคนสำคัญในการหารายได้และดูแลครอบครัว