Investment Strategy
ด้วยความคล่องตัว ปรับเปลี่ยนตามนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้เร็ว ทำให้หุ้นของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นที่สนใจลงทุน และยิ่งช่วงโควิดธุรกิจดังกล่าวยิ่งสร้างความโดดเด่นขึ้นมา
คุณเสกสรร โตวิวัฒน์ CFP® ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า ปีนี้ BBLAM เชื่อว่าได้เวลาแล้วที่เศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นคืน หลังจากที่ชะงักจากโควิดมา 2 ปีเต็ม โดยคาดการณ์ว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวในระดับ 4-5% ซึ่งปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้จากการส่งออก ส่วนปีนี้ตัวที่ผลักดันเศรษฐกิจหลักๆ จะมาจากการบริโภคในประเทศ เนื่องจากประชาชนมีความมั่นใจกลับมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยถ้าไปดูตัวเลขเงินฝากธนาคารที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศออกมาล่าสุดของเดือนพฤศจิกายน 2021 ก็จะพบว่า เงินฝากในระบบอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมา แม้ว่าช่วงโควิดจะทำให้ครัวเรือนบางกลุ่มมีปัญหาหนี้ครัวเรือน แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่มีเงินแล้วไม่กล้าใช้จ่าย ซึ่งปีนี้คนกลุ่มนี้จะกลับมาใช้จ่าย ใช้ชีวิต ทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น
อีกแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะมาจากการลงทุนภาครัฐ และการผลิตที่กลับมาเดินเครื่องได้ดีเช่นเดิม ขณะที่การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด ก็คงจะฟื้นตัวตามมา แต่คงไม่ได้กลับมาแบบรวดเร็ว โดย ธปท. คาดการณ์ว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 5-6 ล้านคน ส่วนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ไว้ดีกว่านั้นที่ 13 ล้านคน ในส่วนของ BBLAM ก็มองว่าการท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวแน่นอน แต่จะมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญจริงๆ ในปีหน้า โดยการเดินทางของบุคคลจะมาก่อน ส่วนการเดินทางของภาคธุรกิจอาจจะตามมาภายหลัง
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย คุณเสกสรร ระบุว่า ยังมีความน่าสนใจอยู่ เมื่อพิจารณาคัดเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายบริษัท โดยมีธุรกิจไทยจำนวนมากที่มีความสามารถปรับตัวสูง สามารถเข้าไปหาโอกาสใหม่ๆ ได้ ซึ่งต่างประเทศเองก็มองเห็นความน่าสนใจของหุ้นไทยเช่นกัน จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2021 มีเม็ดเงินของต่างชาติไหลเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นเดือนพฤศจิกายนเดือนเดียวที่ยอดเงินลงทุนสุทธิติดลบ ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีข่าวไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนมาพอดี
ทั้งนี้ ตลาดของประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) เศรษฐกิจมีการปรับขึ้นไปมากช่วงที่ผ่านมา ในปีนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็มองว่า เศรษฐกิจของประเทศในตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market ปีนี้จะโตได้ 5.9% ส่วนตลาดพัฒนาแล้วจะโต 3.9% สะท้อนว่าประเทศกำลังพัฒนาที่ยังเติบโตได้ช้าในช่วงที่ผ่านมาจะมีความน่าสนใจ ซึ่งถ้ากลับมาดูประเทศไทย จะพบว่ามีปัจจัยบวกที่ทำให้น่าสนใจลงทุน เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่สนับสนุนให้เศรษฐกิจเดินหน้า โดยเฉพาะส่วนที่สนับสนุนการท่องเที่ยว การฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมมากขึ้น การเลือกตั้งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ และแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ ส่วนปัจจัยไม่แน่นอนที่กดดันตลาดอยู่ ได้แก่ นโยบายการเงินสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลให้เงินส่วนหนึ่งไหลกลับไปลงทุนในตราสารหนี้ ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ โควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ และเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง
โดยรวมแล้ว ปัจจัยบวกที่สนับสนุนการลงทุนค่อนข้างแข็งแกร่ง ส่วนปัจจัยลบเป็นเหมือนสิ่งรบกวน สร้างความวิตกกังวลเป็นจังหวะ โดยในช่วงครึ่งปีแรก BBLAM มองว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ในช่วงของการเคลื่อนไหวในกรอบแคลๆ หรือ sideway จนกระทั่งมีความชัดเจนเรื่องต่างๆ มากขึ้น ก็จะเห็นภาพของช่วงปลายปีที่ชัดเจนขึ้น เมื่อมาวิเคราะห์แนวทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ BBLAM มองว่า ผลประกอบการหรือกำไรของกิจการจริงๆ คือตัวที่กำหนดราคาหุ้นที่แท้จริง ซึ่งถ้าไปดูที่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก พบว่ามีความน่าสนใจ เพราะ 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในหุ้นกลุ่มนี้ จากการที่ผู้บริหารคนรุ่นใหม่กล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง สร้างช่องทางรายได้ใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ
ทั้งนี้ หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ตามนิยามของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน หรือ AIMC ก็คือหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ไม่เกิน 80,000 ล้านบาท ซึ่งจากการดูข้อมูลในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปไม่เกิน 80,000 ล้านบาท อยู่ถึง 767 บริษัท ซึ่งจุดเด่นของหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก มีอยู่ 3 อย่าง คือ 1.มีโอกาสที่ธุรกิจจะเติบโตได้รวดเร็ว ถ้าผู้บริหารมีวิสัยทัศน์การดำเนินงานที่น่าสนใจ มองเห็นโอกาสธุรกิจใหม่ๆ 2.มีโอกาสควบรวมกิจการ หรือถูกบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาซื้อกิจการได้ ซึ่งทุกครั้งที่มีการจับมือเป็นพันธมิตรหรือควบรวมกิจการก็จะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กอยู่ในช่วงขาขึ้นที่ค่อนข้างดี 3.จำนวนหุ้นมีให้เลือกมาก มีความหลากหลาย ไม่กระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรม
ปัจจุบัน BBLAM มีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทยขนาดกลางและขนาดเล็กอยู่แล้วคือ B-SM-RMF ซึ่งเป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยในช่วงที่จัดตั้งกองทุนนี้ขึ้นมา BBLAM มองว่า หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีมูลค่าน่าสนใจยังมีให้เลือกไม่มาก จึงเหมาะกับการค้นหาลงทุนระยะยาวมากกว่า แต่เมื่อศักยภาพเปลี่ยนไป มีหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่น่าสนใจมากขึ้น BBLAM จึงเตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) กองทุนเปิดบัวหลวง Small Mid Equity หรือ B-SMEQ วันที่ 21-25 กุมภาพันธ์ นี้
กระบวนการเลือกหุ้นของ BBLAM จะเน้นเรื่องอนาคตค่อนข้างมาก โดยเรามุ่งเน้นที่การวิเคราะห์กิจการ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดผลตอบแทนจากการลงทุน ด้วยความเชื่อว่า หากลงทุนในกิจการบริษัทที่ดี ประกอบกับการเข้าซื้อในราคาที่เหมาะสมจะนำไปสู่ผลตอบแทนที่ดี หรือ Good Stock + Good Trade = Good Performance โดยในการลงทุนนั้นBBLAM จะพิจารณาเมกะเทรนด์ก่อน จากนั้นก็จะดูโอกาสการเติบโตธุรกิจ ใช้กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นรายตัว (bottom up) ด้วย
สำหรับการจัดสัดส่วนลงทุนในหุ้นปีนี้ คุณเสกสรร ให้คำแนะนำว่า ปีที่ผ่านมานักลงทุนย้ายจากการลงทุนในหุ้นไทยไปลงทุนในต่างประเทศมาก ซึ่งในต่างประเทศก็ยังมีโอกาสอยู่ก็สามารถลงทุนระยะยาวต่อได้ แต่หากในพอร์ตการลงทุนหุ้น 100% เดิมไปลงทุนต่างประเทศเกือบหมด แล้วลืมหุ้นไทยไปเลย ก็ควรจะมีหุ้นไทยอยู่ 1 ใน 3 ของพอร์ตลงทุนในหุ้น โดยในนั้นควรจะมีหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กปนอยู่ด้วย เพื่อไม่ให้เสียโอกาส และเกาะไปกับธีมการเติบโตของหุ้นกลุ่มนี้ด้วย
แนะนำกองทุน B-SMEQ และกองทุนลดหย่อนภาษี ได้แก่ B-SM-RMF
อ่าน BBLAM Weekly Investment Insights 21-25 กุมภาพันธ์ 2022 ฉบับเต็มได้ที่ https://www.bblam.co.th/bualuang-insights/bblam-investment-insights/21-25-2022