- อัตราเงินเฟ้อฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 4.5% YoY ในเดือน เม.ย. หลังมาตรการปฏิรูปภาษี (TRAIN) มีผลบังคับใช้ต้นปี 2018
- ราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ บริการขนส่ง ภาคครัวเรือน น้ำประปา ไฟฟ้า เชื้อเพลิง และร้านอาหาร ทะยานขึ้นต่อ
- ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) กำลังถูกตลาดกดดันให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จับตามองการประชุมวันที่ 10 พ.ค.
อัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์ ขยับขึ้นเป็น 4.5% YoY ในเดือน เม.ย. จาก 4.3% YoY ของเดือนก่อนหน้า (Rebased Series) เป็นผลจากราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ บริการขนส่ง ภาคครัวเรือน น้ำประปา ไฟฟ้า เชื้อเพลิง และร้านอาหาร ที่ปรับสูงขึ้น หลังรัฐบาลบังคับใช้มาตรการปฏิรูปภาษีระลอกแรก (Tax Reform for Acceleration and Inclusion: TRAIN) ไปตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
TRAIN เป็นการเปลี่ยนแปลงกฎหมายภาษีฟิลิปปินส์ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดหย่อน-ยกเว้นภาษีส้าหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง การขยายขอบเขตภาษีมูลค่าเพิ่มให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และการขึ้นภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าหลายประเภท อาทิ รถยนต์ เชื้อเพลิงชนิดต่างๆ ถ่านหิน บุหรี่ และเครื่องดื่มผสมน้ำตาล เป็นต้น ดังนั้น กฎหมายดังกล่าวจึงส่งผลทั้งทางตรงต่อราคาสินค้าประเภทเหล่านี้ และในทางอ้อมต่อต้นทุนการผลิตสินค้าชนิดอื่นๆ เป็นวงกว้าง (Second Round Effects)
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) คาดว่า เงินเฟ้อจะชะลอลงมาในช่วงปลายปี และค่าเฉลี่ยทั้งปีนี้จะลงมาทรงตัวอยู่ภายในกรอบเป้าหมาย 2.0-4.0% ที่ราว 3.8% ก่อนที่จะย่อลงต่อเหลือ 3.0% ในปี 2019 ทั้งนี้ แม้ว่าที่ผ่านมา BSP จะตัดสินใจคงดอกเบี้ยไว้ที่ 3.0% เพราะมองว่าทิศทางเงินเฟ้อดังกล่าวเป็นเพียงผลกระทบชั่วคราวจากมาตรการ TRAIN เท่านั้น แต่ในสภาวะดอกเบี้ยต่ำ สกุลเงินเปโซที่อ่อนค่าลง และเงินเฟ้อที่ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติต่างดึงเงินทุนออกจากฟิลิปปินส์ ส่งผลให้ดัชนีหุ้น PCOMP ย่อลงมากว่า 16% จากจุดสูงสุดเมื่อปลายเดือน ม.ค. 2018
เมื่อเดือนที่ผ่านมา BSP หันมาส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้งด้วยกัน โดยยอมรับว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเผยว่าได้ปล่อยให้อัตราผลตอบแทนของ Term Deposit Facility: TDF ซึ่งเป็นเครื่องมือควบคุมสภาพคล่อง เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี จึงนับเป็นการรัดกุมนโยบายการเงินทางอ้อม (De Facto) แล้ว ทั้งนี้ ต้องจับตามองว่า BSP จะตัดสินใจปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในการประชุมครั้งถัดไปวันที่ 10 พ.ค. หรือไม่