นักกลยุทธ์เตือน บิตคอยน์อาจจะดิ่งลงถึง 13,000 ดอลลาร์ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐเข้มงวดนโยบาย และหากฟองสบู่คริปโตในอดีตผ่านพ้นไป บิตคอยน์อาจร่วงลงอีกมาก
เอียน ฮาร์เน็ตต์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ บริษัท แอบโซลูต สเตรเตอจี รีเสิร์ช เตือนว่า
บิตคอยต์น่าจะลดลงไปถึง 13,000 ดอลลาร์ ซึ่งลดลงจากระดับปัจจุบันเกือบ 40% โดยมองว่า ภาวะแวดล้อมในขณะนี้ จะยังคงมีแรงเทขายคริปโต
ฮาร์เน็ตต์ อธิบายว่า คริปโตเป็นการเล่นสภาพคล่อง เนื่องจากคริปโตไม่ได้เป็นเงินตรา หรือเป็นโภคภัณฑ์ และไม่ใช่ที่เก็บมูลค่า การดีดตัวของคริปโตในอดีตชี้ว่า บิตคอยน์มีแนวโน้มที่จะลดลงจากระดับสูงสุดตลอดกาลอีกประมาณ 80% ตัวอย่างเช่น ในปี 2561 บิตคอยน์ปรับตัวลงไปถึง 3,000 ดอลลาร์ หลังจากที่พุ่งสูงสุดเกือบ 20,000 ดอลลาร์เมื่อปลายปี 2560
บิตคอยน์ได้ปรับตัวขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกือบ 69,000 ดอลลาร์ เมื่อเกิดความบ้าคลั่งเงินคริปโตอย่างรุนแรงในปี 2564 แต่ในปี 2565 มันได้เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม
ฮาร์เน็ตต์ กล่าวว่า การปรับตัวลงของบิตคอยน์ในปี 2565 จะทำให้มันกลับไปอยู่ที่ประมาณ 13,000 ดอลลาร์ ซึ่งจะเป็นแนวรับสำคัญ
“ในโลกที่มีสภาพคล่องจำนวนมาก บิตคอยน์ทำผลงานได้ดี แต่เมื่อมีการนำสภาพคล่องออกไป อย่างที่ธนาคารกลางกำลังทำอยู่ในขณะนี้ จะได้เห็นตลาดเหล่านั้นกดดันอย่างรุนแรง” ฮาร์เน็ตต์ กล่าว
โลกคริปโตมีความกังวลเมื่อนักลงทุนจัดการกับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นที่มีต่อสินทรัพย์ที่เบ่งบานในยุคที่นโยบายเงินผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานประมาณ 0.75% โดยเป็นการขึ้นครั้งเดียวที่มากสุดนับตั้งแต่ปี 2537 หลังมีการเคลื่อนไหวจากเฟด ธนาคารกลางอังกฤษและธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้ขึ้นดอกเบี้ยตาม
การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ดิจิทัล มูลค่าของเงินดิจิทัลทั้งหมดได้ลดลงรวมกันมากกว่า 350,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
ในวันอังคารที่ผ่านมา บิตคอยน์มีการซื้อขายที่ 21,393 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงถึง 6% แต่ยังคงลดลงมากกว่า 50% ในปีนี้
ตลาดคริปโตได้สั่นคลอนอยู่แล้ว ก่อนที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเทรดเดอร์ได้รับผลกระทบจากการล่มสลายเป็นเงิน 60,000 ล้านดอลลาร์ ของ terraUSD ซึ่งถือเป็น Stablecoin ที่ได้รับความนิยม และ luna ซึ่งเป็นเหรียญในเครือเดียวกัน
เรื่องยิ่งยุ่งยากขึ้นไปอีก เมื่อมูลค่าของเหรียญอนุพันธ์ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้แลกเป็นเงินอีเทอร์ได้หนึ่งต่อหนึ่ง ได้ทำให้เกิดปัญหาทางการเงินเพิ่มขึ้นกับผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรม อย่างเช่น เซลเซียส และ ทรี แอร์โรว์ แคปิตอล
ที่มา: CNBC