ญี่ปุ่นเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยว 68 ชาติ เดินทางเข้าประเทศ โดยไม่ต้องขอวีซ่า วันแรก รับอานิสงส์เยนอ่อนค่า หวังท่องเที่ยวฟื้นเศรษฐกิจเท่ายุคก่อนโควิด ท่ามกลางปัญหาขาดแคลนแรงงานภาคบริการ
วันที่ 11 ตุลาคม 2565 บลูมเบิร์ก รายงานว่า ญี่ปุ่นกลับมารับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ผ่านการฉีดวัคซีนตามที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) จาก 68 ประเทศ โดยไม่ต้องมีวีซ่าอีกครั้ง ในวันนี้ (11 ต.ค.) นับเป็นการสิ้นสุดการควบคุมชายแดนที่เข้มงวดในช่วงเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่ ญี่ปุ่นเผชิญค่าเงินเยนเทียบดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าทำสถิติต่ำสุดในรอบศตวรรษ อัตราเงินเฟ้อค่อนข้างคุมได้ ทำให้ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ในราคาที่ไม่แพง
นักท่องเที่ยววัย 32 ปี รายหนึ่งบอกกับบลูมเบิร์กว่า นี่เป็นโอกาสพิเศษที่จะได้เดินทางทันที หลังจากที่พรมแดนเปิดแล้ว โดยเขาเตรียมการเดินทางเข้าญี่ปุ่น ในวันที่ 12 ต.ค. และพักอยู่นานกว่า 1 สัปดาห์ พร้อมกับวางแผนจะใช้จ่ายเล็กน้อย แม้ราคาอาหารและโรงแรมในญี่ปุ่นตอนนี้จะมีราคาที่ดี เพราะเงินเยนอ่อนค่าลงก็ตาม
ญี่ปุ่นพึ่งพาท่องเที่ยว หวังฟื้นเศรษฐกิจให้เทียบเท่าก่อนโควิด
ญี่ปุ่นในฐานะหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจร่ำรวยกลุ่มบนสุดของโลก ยังคงพึ่งพาการท่องเที่ยว โดยตั้งเป้าหมายว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว และชดเชยให้เศรษฐกิจกลับไปเติบโตเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด
ตามรายงานล่าสุดโดยนักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs คาดการณ์ว่า การใช้จ่ายขาเข้าในญี่ปุ่นอาจเพิ่มขึ้น 32% เป็น 6.6 ล้านล้านเยน (4.54 หมื่นล้านดอลลาร์) ต่อปี หลังการเปิดประเทศครั้งใหม่เต็มรูปแบบ เมื่อเทียบกับปี 2562
แม้ว่าจะสายเกินไปสำหรับองค์กรธุรกิจกว่า 4,000 แห่ง ที่ต้องล้มเลิกกิจการไป หลังจากรัฐบาลนำมาตรการควบคุมค้าปลีกมาใช้เมื่อต้นปี 2563 แต่ขณะนี้ผู้ค้าปลีก โรงแรม และร้านอาหารต่างกระตือรือร้นที่จะฟื้นธุรกิจที่พวกเขาสูญเสียไป
ส่วนสายการบินญี่ปุ่นกำลังเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ และการเดินทางภายในประเทศก็เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาค่าตั๋วโดยสารที่ไม่แพง และบางเส้นทางบินงดให้บริการก่อนหน้านี้ ซึ่งการเดินทางทางอากาศที่เพิ่มขึ้นจะเป็นทำให้การท่องเที่ยวญี่ปุ่นกลับมาอยู่ในจุดสูงสุดก่อนโควิด หรือมีนักท่องเที่ยวขาเข้าถึง 32 ล้านคนเมื่อปี 2562
อย่างไรก็ตาม แม้ทั่วโลกจะตื่นเต้นที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง แต่ความเร็วและขนาดของการฟื้นตัวการท่องเที่ยวยังเป็นเรื่องยากที่จะวัดได้ การเปิดทัวร์แบบกลุ่มอย่างจำกัดเมื่อเดือน มิ.ย. พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่สามารถดึงดูดปริมาณนักท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญได้
นักท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่กว่า 1 ใน 3 ของการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าญี่ปุ่น ก่อนโควิด-19 ก็ยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาได้ เนื่องจากนโยบายซีโร่โควิดของรัฐบาลจีน
ทาคาฮิเดะ คิอุจิ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยโนมูระ คาดว่า การท่องเที่ยวญี่ปุุ่นจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี สำหรับการฟื้นตัวให้กลับไปเหมือนก่อนช่วงโควิด เนื่องจากปัจจุบันยังขาดแคลนห้องพักในโรงแรมทั่วประเทศ และมีแนวโน้มเลวร้ายลง เว้นแต่ชาวญี่ปุ่นเลือกที่จะเดินทางไปต่างประเทศมากกว่าในประเทศ
ส่วนการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะสูงถึง 2.1 ล้านล้านเยน ภายในปี 2566 และจะไม่เกินระดับก่อนเกิดโควิด-19 เนื่องจากตั้งแต่เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศเป็นกลุ่มพร้อมกับมัคคุเทศก์ ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อรวมแพ็กเกจทัวร์ด้วยตนเอง จนถึงขณะนี้ พบว่ามีผู้เดินทางเข้าญี่ปุ่นเพียง 5 แสนคนในปี 2565 เทียบกับ 31.8 ล้านคนในปี 2562
เปิดประเทศ แต่ขาดแคลนแรงงานภาคบริการหนัก
เดอะ การ์เดียน รายงานว่า ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น หวังให้การท่องเที่ยวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและรับประโยชน์บางส่วนจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 24 ปี แต่ความหวังให้การท่องเที่ยวเฟื่องฟูต้องเผชิญกับอุปสรรค เช่น การขาดแคลนพนักงานบริการ ความกังวลเรื่องโรคระบาดที่ยืดเยื้อ และการคาดการณ์จากนักเศรษฐศาสตร์ว่า ผลตอบแทนนักท่องเที่ยวจะค่อยเป็นค่อยไป
ข้อมูลของบริษัทวิจัยตลาด Teikoku Databank ระบุว่า โรงแรมเกือบ 73% ทั่วประเทศ ขาดพนักงานประจำมาตั้งแต่เดือน ส.ค. และเพิ่มขึ้นจากประมาณ 27% ในปีก่อนหน้า
ขณะที่ วันนี้ (11 ต.ค.) เป็นวันแรกที่ญี่ปุ่นได้คืนสถานะการเดินทางปลอดวีซ่าให้กับผู้ถือพาสปอร์ตหลายประเทศ พร้อมการยุติการควบคุมชายแดนจากโควิด-19 ที่เข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งในโลก รวมถึงยกเลิกการจำกัดจำนวนคนเข้า 50,000 คน ยกเลิกข้อกำหนดให้นักท่องเที่ยวเดินทางกับกลุ่มทัวร์ เป็นต้น
ที่มา: บลูมเบิร์ก