เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาติดตามแนวโน้มสถานการณ์การค้าและการส่งออกอาหารจากพืช หรือ แพลนต์เบสต์ฟู้ด (Plant Based Foods) และโอกาสทางการค้าของไทย ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งเน้นการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารของโลก เพื่อยกระดับอาหารไทยเป็นอาหารโลก
คาดปี 2573 แพลนต์เบสต์ฟู้ด กิน 7.7% ของตลาด
นายพูนพงษ์ กล่าวต่อว่า แพลนต์เบสต์ฟู้ด ไม่มีนิยามที่ชัดเจน แต่ในความหมายที่คนส่วนใหญ่เข้าใจร่วมกัน คือ อาหารที่มีส่วนประกอบจากพืชทั้งหมด ไม่มีส่วนผสมของผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ซึ่งพืชครอบคลุมทั้งผัก ผลไม้ ธัญพืช พืชหัว พืชฝักตระกูลถั่ว ผลไม้แห้งเปลือกแข็ง เมล็ดพืช เห็ดรา และสาหร่าย เช่น สมาคมอาหารจากพืชของสหรัฐอเมริกา (PBFA) และสมาคมอาหารจากพืชของยุโรป (ENSA) ต่างนิยาม แพลนต์เบสต์ ฟู้ด ว่าหมายถึง อาหารจากพืชที่ไม่มีส่วนผสมจากสัตว์ โดยเน้นอาหารจากพืชที่ให้โปรตีนเป็นหลัก
“ทาง บลูมเบิร์ก สำรวจสถานการณ์ตลาดแพลนต์เบสต์ฟู้ดของโลก คาดว่าในปี 2573 แพลนต์เบสต์ฟู้ดจะมีสัดส่วนประมาณ 7.7% ของแหล่งโปรตีนในตลาดโลก และมีมูลค่า 162,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 29,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2563 โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่คาดว่าในปี 2573 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีประชากรถึง 4,600 ล้านคน เป็นตลาดที่สำคัญสำหรับโปรตีนจากพืช โดยมูลค่าตลาดจะสูงถึง 64,800 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 13,500 ล้านเหรียญสหรัฐปี 2563 ทั้งนี้ สินค้าสำคัญสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คือ ผลิตภัณฑ์นมจากพืช ขณะที่ภูมิภาคอเมริกาเหนือ และยุโรป จะมีมูลค่าตลาดประมาณ 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนแอฟริกา ตะวันออกกกลางและลาติน อเมริกา จะมีมูลค่าประมาณ 8,000-9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในแต่ละภูมิภาค”
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า ในด้านสถิติการค้าระหว่างประเทศของสินค้าแพลนต์เบสต์ฟู้ด มีข้อจำกัดจากการที่แพลนต์เบสต์ฟู้ดไม่มีพิกัดศุลกากรแยกเฉพาะ เพื่อให้เห็นทิศทางแนวโน้มของการค้าสินค้าดังกล่าว สนค. จึงใช้พิกัดศุลกากรระดับพิกัดฯ 6 หลัก กำหนดโดยองค์การศุลกากรโลก เพื่อให้ประเภทสินค้าตรงกันและสามารถเปรียบเทียบกัน โดยสินค้าโปรตีนจากพืชจะอยู่ภายใต้ประเภทและพิกัดศุลกากร 3 กลุ่มหลัก คือ 1.อาหารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุหรือรวมไว้ที่อื่น เช่น เต้าหู้ ครีมเทียม 2. เครื่องดื่มอื่นๆ (พิกัดฯ 2202.99) เช่น นมถั่วเหลือง 3.โปรตีนเข้มข้นและสารเทกซ์เจอร์โปรตีน (พิกัดฯ 2106.10) เช่น ผงโปรตีนจากพืช เนื้อจากพืช
ไทยติดท็อป 6 ส่งออกแพลนต์เบสต์ฟู้ด
จากข้อมูลสถิติการค้าระหว่างประเทศของ Trademap.org พบว่า ปี 2564 โลกส่งออกสินค้าโปรตีนจากพืช 3 กลุ่มข้างต้น มีมูลค่ารวม 69,297 ล้านเหรียญสหรัฐ ผู้ส่งออกสำคัญ 5 รายแรก ได้แก่ 1. สหรัฐฯ 8,040 ล้านเหรียญสหรัฐ 11.6% ของมูลค่าการส่งออกของทั้งโลก 2. สิงคโปร์ 6,544 ล้านเหรียญสหรัฐ 9.4 % 3. เยอรมนี 5,966 ล้านเหรียญสหรัฐ 8.6% 4.เนเธอร์แลนด์ 5,358 ล้านเหรียญสหรัฐ 7.7% และ 5. จีน 2,960 ล้านเหรียญสหรัฐ 4.3% ขณะที่ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 6 ของโลก มูลค่า 2,852 ล้านเหรียญสหรัฐ 4.1%
โดยผู้นำเข้าสำคัญ 5 รายแรกของโลก คือ สหรัฐฯ จีน เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และแคนาดา มีสัดส่วนของมูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 12.2% 6.9% 4.4% 3.8% และ 3.5% ของมูลค่าการนำเข้าของทั้งโลก เมื่อพิจารณารายสินค้าพบว่า สินค้ากลุ่มใหญ่สุดที่มีการส่งออก คือ กลุ่มอาหารปรุงแต่งฯ มีมูลค่า 52,916 ล้านเหรียญสหรัฐ ผู้ส่งออกสำคัญ ได้แก่ สิงคโปร์ สหรัฐฯ และเยอรมนี รองลงมา คือ เครื่องดื่ม มีมูลค่า 13,289 ล้านเหรียญสหรัฐ ผู้ส่งออกสำคัญ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ไทย และเนเธอร์แลนด์ และโปรตีนเข้มข้นและสารเทกซ์เจอร์โปรตีน มีมูลค่า 3,092 ล้านเหรียญสหรัฐ ผู้ส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และเนเธอร์แลนด์
เครื่องดื่ม อันดับ 1 ส่งออกไทย
การส่งออกของไทย ปี 2564 มีมูลค่า 2,852 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้ากลุ่มใหญ่สุดที่ไทยส่งออก คือ 1. เครื่องดื่ม (พิกัดฯ 2202.99) มีมูลค่า 1,502 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 52.7% ตลาดส่งออกสำคัญ คือ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา จีน และ สปป.ลาว รองลงมา คือ อาหารปรุงแต่งฯ มีมูลค่า 1,347 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดส่งออกสำคัญ คือ สหรัฐฯ จีน เมียนมา ญี่ปุ่น และกัมพูชา และ 3. โปรตีนเข้มข้นและสารเทกซ์เจอร์โปรตีน มีมูลค่า 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดส่งออกสำคัญ คือ ฮ่องกง ไต้หวัน จีน สหรัฐฯ และเมียนมา ตามลำดับ
จากสถิติการค้าข้างต้น พบว่า ไทยมีความเข้มแข็งในการส่งออกสินค้าเครื่องดื่ม (พิกัดฯ 2202.99) ซึ่งนมจากพืชอยู่ในกลุ่มนี้ โดยไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลก มีมูลค่าส่งออก 1,502 ล้านเหรียญสหรัฐ รองจากสวิตเซอร์แลนด์ 1,953 ล้านเหรียญสหรัฐ และนมจากพืชเป็นสินค้ากลุ่มใหญ่สุดในตลาดอาหารโปรตีนจากพืช ซึ่งปัจจุบันไทยส่งออกนมถั่วเหลืองเป็นหลัก ยังมีโอกาสที่ไทยสามารถพัฒนาสินค้านมจากพืชให้หลากหลายและช่วยสนับสนุนภาคเกษตรไทย อีกทั้งสามารถต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์นมที่ทำจากพืช เช่น เนย ชีส โยเกิร์ต และไอศกรีม
สินค้าพร้อมทาน กลุ่มสินค้าศักยภาพสูง
สำหรับกลุ่มอาหารปรุงแต่ง มีสินค้าสำคัญในกลุ่มนี้ที่ไทยส่งออก เช่น ครีมเทียม ในปี 2564 ไทยส่งออกครีมเทียมเป็นมูลค่า 323 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งหากพัฒนาสินค้าครีมเทียมของไทยเป็นครีมเทียมจากพืช ก็จะตอบโจทย์แนวโน้มตลาดที่มีความต้องการโปรตีนจากพืชมากขึ้น นมมะพร้าวออร์แกนิก เป็นอีกสินค้าที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ มีมูลค่าการส่งออกเติบโตสูง จาก 0.014 และ 0.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มเป็น 5.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2562 2563 และ 2564 ตามลำดับ ขณะที่เต้าหู้ มูลค่าการส่งออกค่อนข้างคงตัว 2 – 3.5 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และจากข้อมูลของ PBFA ในปี 2564 มูลค่ายอดขายสินค้าอาหารจากพืชในตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวทุกกลุ่ม ยกเว้น กลุ่มเต้าหู้และถั่วเหลืองหมัก ที่หดตัว
สินค้ากลุ่มโปรตีนเข้มข้นและสารเทกซ์เจอร์โปรตีน เช่น เนื้อจากจากพืช ผงโปรตีนจากพืช สินค้ากลุ่มนี้ ไทยยังมีมูลค่าการส่งออกน้อย สามารถพัฒนาศักยภาพการส่งออกและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรไทย โดยเฉพาะกลุ่มผงโปรตีนจากพืช ซึ่งการผลิตผงโปรตีนมีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมากหากเทียบกับการผลิตเนื้อเทียมจากพืช สามารถส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยของไทยในการผลิตและส่งออกได้
นอกจากสินค้าโปรตีนจากพืช 3 กลุ่ม ที่กล่าวข้างต้นแล้ว สินค้าอาหารพร้อมทาน (Meals) เป็นสินค้าอีกกลุ่มที่มีศักยภาพสูง จากข้อมูลของ PBFA ในปี 2564 ยอดขายสินค้าอาหารพร้อมทานจากพืชในตลาดสหรัฐฯ มีมูลค่า 513 ล้านเหรียญสหรัฐ (เป็นกลุ่มสำคัญรองจาก นมจากพืช เนื้อจากพืช และครีมจากพืช) ความสะดวกสบาย ความรีบเร่งของสังคมเมือง และความหลากหลายของสินค้าทำให้ตลาดอาหารพร้อมทานเติบโต ไทยสามารถนำเสนออัตลักษณ์อาหารไทย วัตถุดิบ เครื่องปรุง เครื่องเทศ สมุนไพรของไทย ซึ่งช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรค สอดคล้องกับแนวโน้มสังคมสูงวัย และการเติบโตของกระแสรักสุขภาพ
แนะศึกษาข้อมูล ทำตามกฎระเบียบ
นายพูนพงษ์ กล่าวต่อว่า กฎระเบียบเป็นอีกเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึง อาหารจากพืชมีประเด็น อาทิ การติดฉลาก (Labelling) รัฐบาลบางประเทศออกกฎระเบียบเกี่ยวกับการติดฉลาก (เช่น แอฟริกาใต้ ฝรั่งเศส ตุรกี อินเดีย และสหรัฐฯ ในบางมลรัฐ) เพื่อกำกับดูแลไม่ให้ผู้บริโภคสับสน เช่น ไม่ให้ฉลากอาหารจากพืชใช้ชื่อที่สื่อถึงความเป็นเนื้อสัตว์ จึงต้องศึกษาข้อมูลด้านการติดฉลากเพื่อปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎระเบียบประเทศนำเข้า
นอกจากนี้ อาหารจากพืชที่ผลิตด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ สามารถเข้าข่ายเป็นอาหารใหม่ (Novel Food) ซึ่งหมายถึง อาหารที่ทำจากวัตถุดิบที่ไม่เคยนำมาบริโภคเป็นอาหารมาก่อน มีประวัติการบริโภคเป็นอาหารมาไม่นาน หรือมีกระบวนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่ไม่เคยใช้มาก่อน ซึ่งต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น สหภาพยุโรป มีกฎระเบียบ EU Novel Food Regulation 2015/2283 ในส่วนของไทยมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 376) พ.ศ. 2559 เรื่อง อาหารใหม่ เป็นต้น
ที่มา: บลูมเบิร์ก