“น้ำมันดีเซล” มีความสำคัญต่อธุรกิจและเศรษฐกิจของแต่ละประเทศใหญ่หลวงมาก เนื่องจากเป็นชนิดน้ำมันที่ใช้เป็นพลังงานของเรือขนส่งสินค้า รถบรรทุกขนถ่ายสินค้า และรถไฟ รวมทั้งเป็นพลังงานเพื่อให้ความร้อนแก่บ้านเรือน และธุรกิจต่างๆ ในภูมิภาคที่หนาวเย็นของโลก อย่างเช่น ในอเมริกาเหนือและยุโรป
ที่สำคัญยังถูกนำมาใช้เป็นพลังงานสำคัญส่วนหนึ่งในการเดินเครื่องจักรสำหรับผลิตน้ำประปา ผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับการบริโภคของครัวเรือนและธุรกิจอุตสาหกรรมทั้งหลายอีกด้วย
ภาวะขาดแคลนน้ำมันดีเซลที่อาจทำให้ราคาพุ่งพรวด จึงส่งผลกระทบอย่างทั่วถึงเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะต่อ “เครือข่าย การขนส่งสินค้า” ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าทุกอย่างแพงขึ้น ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น อัตราเงินเฟ้อถีบตัวสูงขึ้นตามมา เดือดร้อนกันไปทั่ว ตั้งแต่คนเดินถนนไปจนถึงในคฤหาสน์มหาเศรษฐี และทุกภาคส่วนของธุรกิจอุตสาหกรรม
ที่ต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา เนื่องจากสำนักข่าว บลูมเบิร์ก รายงานไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แทบทั่วทุกภูมิภาคของโลกจะเผชิญกับอันตรายจากการขาดแคลนน้ำมันดีเซล เนื่องจากภาวะตึงตัวของผลผลิตน้ำมันชนิดนี้ในตลาดเกือบทั่วทั้งโลกที่สามารถ “ส่งผลทำให้ภาวะเงินเฟ้อเลวร้ายลง” และ “ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ” ตามมา
“มาร์ก ฟินลีย์” นักวิชาการด้านพลังงาน ประจำสถาบันเบเกอร์เพื่อศึกษานโยบายสาธารณะของมหาวิทยาลัยไรซ์ บอกกับ บลูมเบิร์กว่า การขาดแคลนและราคาน้ำมันดีเซลที่พุ่งสูงขึ้น จะทำให้สหรัฐอเมริกาต้องใช้ต้นทุนพลังงานเพิ่มขึ้นถึง 100,000 ล้านดอลลาร์
ในสหรัฐอเมริกา ปริมาณดีเซลสำรองในคลังลดฮวบลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1982 ในขณะที่ปริมาณน้ำมันดีเซลในท้องตลาดในเวลานี้อยู่ในระดับต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์
สำนักงานข้อมูลพลังงาน (อีไอเอ) ของสหรัฐ ระบุว่า ทั่วประเทศในเวลานี้มีปริมาณดีเซลสำหรับให้ใช้ได้เพียง 25 วัน ซึ่งเป็นปริมาณที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 ในขณะเดียวกัน ปริมาณเก็บสำรองก็อยู่ในระดับต่ำ แถมปริมาณดีเซลที่กลั่นได้ในขณะนี้ เฉลี่ยแล้วสามารถนำมาใช้ได้เพียง 4 สัปดาห์เท่านั้น เพราะมีความต้องการดีเซลสูงมากในเวลานี้ สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา
ผลก็คือ ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดจร ที่อ่าวนิวยอร์กพุ่งขึ้นสูงกว่า 265% เมื่อเทียบกับตอนต้นปี 2021
“จอห์น เคมป์” นักวิเคราะห์อาวุโส ของรอยเตอร์ สำทับซ้ำว่า ภาวะขาดแคลนดีเซลเช่นนี้จะยังคงอยู่ต่อเนื่องต่อไป ในระยะยาว จนกว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะทรุดตัว
รายงานของนิวยอร์ก ไทมส์ ระบุว่า สาเหตุที่เกิดสถานการณ์ขาดแคลนดีเซลขึ้นในเวลานี้ นอกจากจะเกิดจากปัจจัยอย่างสงครามของรัสเซียในยูเครน ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันโดยรวมพุ่งสูงขึ้นโดยตรงแล้ว อีกส่วนยังเป็นผลสั่งสมของหลายปัจจัย ซึ่งเชื่อมโยงซึ่งกันและกันที่ค่อยๆ ทับถมขึ้นอย่างช้าๆ จนกระทบไปทั่วโลก
นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า ต้นตอของการเกิดขาดแคลนดีเซลในสหรัฐอเมริกามาจาการเกิดเพลิงไหม้โรงกลั่นขนาดใหญ่ในฟิลาเดลเฟียในปี 2019 ซึ่งส่งผลให้แหล่งผลิตดีเซลสำคัญสำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาต้องปิดทำการ ดึงเอาผลผลิตดีเซลมหาศาลออกไปจากตลาด
บลูมเบิร์ก ระบุว่า สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความต้องการที่ลดลงในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้โรงกลั่นจำเป็นต้องปิดกิจการในส่วนที่ไม่ทำกำไร ขณะที่ นักลงทุนก็ไม่ยอมลงทุนใหม่ในกิจการโรงกลั่น ทำให้ตั้งแต่ปี 2020 เรื่อยมา ความสามารถในการกลั่นดีเซลของสหรัฐฯ ลดลงมากถึง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นอกจากสหรัฐอเมริกา ภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปก็ตกอยู่ในสภาพไม่แตกต่างกัน ปริมาณดีเซลในตลาดก็อยู่ ในระดับต่ำ ปริมาณดีเซลสำรองก็ลดลงเรื่อยๆ และจะยิ่งแย่ลงมากขึ้นไปอีก เมื่อการแซงก์ชั่นน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์จากน้ำมันดิบรัสเซียของยุโรปจะมีผลบังคับใช้ใน 2-3 เดือนข้างหน้า
ยุโรปมีกำหนดแบนน้ำมันดิบจากรัสเซีย ในเดือน ธ.ค.นี้ ต่อจากนั้นในเดือน ก.พ. 2023 ก็จะห้ามการนำเข้าดีเซลจากรัสเซีย ทั้งหมดนี้สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งต่อสถานการณ์ดีเซลในยุโรปและในตลาดโลก
ในตลาดโลกเวลานี้ปริมาณดีเซลก็ตึงตัวอย่างยิ่ง จนประเทศเศรษฐกิจใหม่บางประเทศ อย่างเช่น ปากีสถานถูกบีบ ไม่สามารถซื้อหาน้ำมันดิบเกรดสำหรับอุตสาหกรรมจากตลาดได้ “ดาริโอ สคาฟฟาร์ดี” อดีตซีอีโอของ ซาราส เอสพีเอ โรงกลั่นน้ำมันของอิตาลีที่อยู่กับอุตสาหกรรมน้ำมันมานานกว่า 40 ปี บอก กับบลูมเบิร์กว่า นี่คือ วิกฤตดีเซลครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่ตนเคยพบ เขาเชื่อว่า หากรัสเซียถูกกันออกจากตลาดโลกอีก ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่โตที่ยากจะแก้ไข
อัมริตา เซน หัวหน้าทีมวิจัยด้านพลังงาน ของเอเนอร์ยี แอสเปกต์ ระบุว่า ภาวะขาดแคลนดีเซลจะ “สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจโลก” และทางเดียวที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวในเวลานี้ก็คือ “การเพิ่มศักยภาพการกลั่น”
ซึ่งยังไม่มีวี่แววว่า จะเกิดขึ้นในเวลานี้
ที่มา: บลูมเบิร์ก