โดย พริ้มพัชร จิรบวรพงศา, AFPTTM
ในปีที่ผ่านมา เราน่าจะได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย หรือ Global Recession กันมาโดยตลอด ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค และปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ที่ส่งผลให้ราคาสินค้าทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น จนกลายเป็นปัญหาเงินเฟ้อ และส่งผลกระทบทำให้ GDP ของหลายๆ ประเทศปรับตัวลดลงตามไปด้วย โดยเฉพาะในยุโรป สหรัฐฯ และจีน ซึ่งมี GDP รวมกัน คิดเป็น 2 ใน 3 ของโลก จนหลายๆ ประเทศที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ ต่างก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วยเช่นกัน อย่างไทยเราเองก็ได้รับผลกระทบจากการที่มีเงินทุนไหลออก เงินบาทอ่อนค่า และปัญหาเงินเฟ้อ
โดยการหดตัวของ GDP รวมถึงปัญหาเงินเฟ้อที่ปรากฎอยู่ในหลายๆ ประเทศ ทำให้นักวิเคราะห์ต่างพากันออกมาฟันธงว่า “โลกของเรากำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” และสิ่งที่ทำให้นักลงทุนมั่นใจเข้าไปอีก ก็คือ การที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ที่ปกติแล้วไม่ค่อยจะทักท้วงอะไร แต่สำหรับครั้งนี้…กลับออกมาเตือนให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยในปี 2566 ทำให้นักลงทุนมือสมัครเล่นอย่างเรา รู้สึกใจสั่นอยู่นิดๆ กังวลอยู่หน่อยๆ และเกิดอยากจะวางแผนการเงินให้ดีเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองว่า เงินของเราจะปลอดภัย มั่นคง และมีโอกาสเติบโตได้อย่างเหมาะสม
สำหรับการวางแผนการเงินในช่วงเศรษฐกิจโลกถดถอย อย่างแรกที่ควรทำ คือ สร้างความมั่นคง เสริมความมั่นใจให้กับตัวเองด้วย “เงินสำรองฉุกเฉิน 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน” เพื่อเตรียมพร้อมรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างการตกงาน ซึ่งจะทำให้รายได้ของเราหายไปโดยทันที และส่งผลให้เราไม่สามารถที่จะดูแลค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้อีกต่อไป ดังนั้น การมีเงินสำรองฉุกเฉินที่เพียงพอ จะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติต่อไปได้ชั่วระยะหนึ่ง ระหว่างที่กำลังหางานใหม่ นอกจากนี้ การมีเงินสำรองฉุกเฉินที่เพียงพอ ก็เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า เรามีรากฐานการเงินที่แข็งแรง โดยเราสามารถนำเงินส่วนที่เหลือเกินจากตรงนี้ ไปลงทุนตามเป้าหมายได้อย่างสบายใจมากขึ้น
โดยการลงทุนในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังถดถอยนั้น เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ และนับว่าเป็นโอกาสของผู้ที่มีเงินเหลือ แต่การลงทุนในช่วงนี้ ก็ต้องอาศัยความแข็งแกร่งของจิตใจอยู่พอสมควรเลย เพราะระหว่างที่ลงทุน น่าจะยังมีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์อีกหลายๆ อย่างขึ้นมา ซึ่งก็อาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตลงทุนของเรา ให้เกิดความผันผวนได้ในช่วงสั้นๆ โดยเราสามารถแก้ไขปัญหานี้ด้วยการลงทุนระยะยาวและทยอยลงทุน (DCA) เพราะโดยทั่วไปแล้ว ความเสี่ยงที่เกิดจาการลงทุน มักจะลดลงตามระยะเวลาลงทุนที่ยาวนานขึ้น รวมถึงการทยอยลงทุนที่นานพอ ก็มักจะทำให้เราได้รับต้นทุนถัวเฉลี่ยในราคาที่ไม่ถูก ไม่แพงจนเกินไปด้วย
สำหรับการลงทุนในปี 2566 ยังคงแนะนำการลงทุนตามเทรนด์โลก ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และพลังงานสะอาด โดยการลงทุนจะไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่บริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีเท่านั้น แต่จะครอบคลุมถึงบริษัทต่างๆ ที่นำเทรนด์เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตามองกันต่อไปว่า ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ใครจะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีได้ก่อนกัน แต่ทั้งนี้ ต้องอย่าลืม! ทบทวนสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตของตัวเองด้วยว่าเป็นอย่างไร? เพื่อป้องกันการลงทุนที่กระจุกตัว หรือ Overweight หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมากจนเกินไปด้วย โดยเราอาจจะพิจารณากระจายการลงทุนมาในหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดีบ้างก็ได้ เพราะมีความแกร่ง ความอึด ความทนต่อสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอยได้ดีพอสมควร อีกทั้งหุ้นไทยเองก็ดูมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ดีขึ้น จากปัจจัยบวกด้านการท่องเที่ยว
ท้ายที่สุด อยากย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การวางแผนการเงินที่ดีในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย หัวใจสำคัญอยู่ที่ความมั่งคงทางการเงิน ซึ่งการมีเงินสำรองฉุกเฉิน การมีเงินสดสภาพคล่องที่เพียงพอนั้น เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้จริงๆ ส่วนการลงทุนนั้นเป็นอีกหนึ่งโอกาสดีๆ ของคนที่มีเงินเหลือ เพราะสามารถเข้าลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีได้ในราคาที่ย่อมเยา แต่ก็ต้องมีความเข้าใจว่า ในช่วงเวลาแบบนี้มักจะมีความผันผวนที่เกิดจากแรงกระทบต่างๆ เข้ามาทดสอบความอดทนของเราอยู่ตลอดเวลา การลงทุนในช่วงเวลาแบบนี้จึงเหมาะกับเป้าหมายระยะยาวมากกว่า ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จทางการเงินในปีหน้านี้