มุมมองตลาดตราสารหนี้
ในเดือนมกราคมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับเพิ่มขึ้นทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะตราสารหนี้ช่วงอายุไม่เกิน 1 ปี อัตราผลตอบแทนปรับเพิ่มขึ้น 10-15 bps. จากกระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มไหลออก และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางถึงระยะยาวปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ
คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย เดือนมกราคม มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps จาก 1.25% เป็น 1.50% เช่นเดียวกับธนาคารกลางทั่วโลกที่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อพยายามสกัดเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงในรอบหลายปี โดยในเดือนกุมภาพันธ์มีประชุมของธนาคารกลางหลักๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติเป็นเอกฉันท์ ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 25 bps สู่ระดับ 4.50-4.75% เป็นการชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยหลังจากที่ได้ปรับขึ้นในอัตรา 50 bps ในการประชุมครั้งก่อนและในอัตรา 75 bps ในการประชุม 4 ครั้งก่อนหน้า โดยยังคงย้ำว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมมีความเหมาะสม เพื่อให้อยู่ในระดับที่จำกัดเศรษฐกิจเพียงพอในการนำพาเงินเฟ้อให้ชะลอกลับเข้าสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% โดยแนวโน้มของดอกเบี้ยหรือ Dot plot บ่งชี้ว่า Fed จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นแตะระดับสูงสุด (Terminal rate) ที่ 5.00-5.25% และคงที่ระดับดังกล่าวตลอดจนถึงสิ้นปีนี้เป็นอย่างน้อย
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Deposit Facility rate ขึ้น 50 bps สู่ระดับ 2.50% ตามการคาดการณ์ของตลาด พร้อมทั้งส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า อัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับขึ้นต่อไปอีกในการประชุมครั้งถัดไป ก่อนที่จะพิจารณาแนวทางของนโยบายการเงินหลังจากนั้นอีกที ซึ่งตลาดมองว่า ECB อาจจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยหรือยุติการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมหลังจากนั้น ทำให้ตลาดการเงินปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสูงสุด (Terminal rate) ลงจากเดิม 3.5% เป็น 3.25%
แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทยในระยะต่อไป คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นจะปรับตัวตามการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งยังคงมองว่า กนง.จะค่อยๆ ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยในช่วงครึ่งปีแรกจะยังคงเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอยู่จากนโยบายการเงินตึงตัวทั่วโลกที่ยังมีแนวโน้มต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี รวมทั้ง Fed ที่แม้ว่าแรงกดดันจากเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้ง ซึ่งจะยังคงกดดันการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ประกอบกับเงินเฟ้อไทยยังคงอยู่ในระดับสูงเกินเป้าหมายของ ธปท. ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวยังมีความผันผวนสูงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว
Fund Comment
Fund Comment กุมภาพันธ์ 2566: มุมมองตลาดตราสารหนี้
มุมมองตลาดตราสารหนี้
ในเดือนมกราคมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับเพิ่มขึ้นทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะตราสารหนี้ช่วงอายุไม่เกิน 1 ปี อัตราผลตอบแทนปรับเพิ่มขึ้น 10-15 bps. จากกระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มไหลออก และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางถึงระยะยาวปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ
คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย เดือนมกราคม มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps จาก 1.25% เป็น 1.50% เช่นเดียวกับธนาคารกลางทั่วโลกที่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อพยายามสกัดเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงในรอบหลายปี โดยในเดือนกุมภาพันธ์มีประชุมของธนาคารกลางหลักๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติเป็นเอกฉันท์ ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 25 bps สู่ระดับ 4.50-4.75% เป็นการชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยหลังจากที่ได้ปรับขึ้นในอัตรา 50 bps ในการประชุมครั้งก่อนและในอัตรา 75 bps ในการประชุม 4 ครั้งก่อนหน้า โดยยังคงย้ำว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมมีความเหมาะสม เพื่อให้อยู่ในระดับที่จำกัดเศรษฐกิจเพียงพอในการนำพาเงินเฟ้อให้ชะลอกลับเข้าสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% โดยแนวโน้มของดอกเบี้ยหรือ Dot plot บ่งชี้ว่า Fed จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นแตะระดับสูงสุด (Terminal rate) ที่ 5.00-5.25% และคงที่ระดับดังกล่าวตลอดจนถึงสิ้นปีนี้เป็นอย่างน้อย
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Deposit Facility rate ขึ้น 50 bps สู่ระดับ 2.50% ตามการคาดการณ์ของตลาด พร้อมทั้งส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า อัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับขึ้นต่อไปอีกในการประชุมครั้งถัดไป ก่อนที่จะพิจารณาแนวทางของนโยบายการเงินหลังจากนั้นอีกที ซึ่งตลาดมองว่า ECB อาจจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยหรือยุติการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมหลังจากนั้น ทำให้ตลาดการเงินปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสูงสุด (Terminal rate) ลงจากเดิม 3.5% เป็น 3.25%
แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทยในระยะต่อไป คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นจะปรับตัวตามการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งยังคงมองว่า กนง.จะค่อยๆ ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยในช่วงครึ่งปีแรกจะยังคงเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอยู่จากนโยบายการเงินตึงตัวทั่วโลกที่ยังมีแนวโน้มต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี รวมทั้ง Fed ที่แม้ว่าแรงกดดันจากเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้ง ซึ่งจะยังคงกดดันการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ประกอบกับเงินเฟ้อไทยยังคงอยู่ในระดับสูงเกินเป้าหมายของ ธปท. ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวยังมีความผันผวนสูงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว