2023 – The Rise of Asia |
INVESTMENT STRATEGY
BBLAM X PICTET Asset Management
“ในช่วงไตรมาส 1 ของปีนี้ หุ้นของธุรกิจ Premium brands ต่างรายงานผลการดำเนินที่ดีต่อเนื่อง ทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุน B-PREMIUM ระหว่างวันที่ 18 กุมภาพันธ์ – 18 เมษายน ที่ผ่านมา ยืนเหนือกว่าดัชนีเปรียบเทียบ MSCI World มากกว่า 3% เพราะได้แรงหนุนต่อจากนักช้อปชาวจีนหลังเปิดประเทศ”
ผู้จัดการกองทุน Pictet – Premium Brands, Class I EUR ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ B-PREMIUM กล่าวถึงธุรกิจ Luxury brand ซึ่งทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนผลการดำเนินงานกองทุน ตัวอย่างเช่น หุ้นของ LVMH ซึ่งเป็นเจ้าของ หลาย Luxury brands เช่น Louis Vuitton และหุ้นของ Hermes ต่างรายงานผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้หุ้นพุ่งขึ้นอีก 6% ซึ่งดีกว่าการคาดการ์ณของตลาด
LVMH รายงานการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้น 17% YoY (เทียบกับตลาดคาดอยู่ที่ 9.9%) ขณะที่ Hermès รายงานการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้น 23% YoY (เทียบกับตลาดคาดอยู่ที่ 16.2%) การที่ผลประกอบการออกมาดีเช่นนี้ ก็ทำให้ EPS ของธุรกิจ B-PREMIUM สูงขึ้น ที่สำคัญยอดขายผ่านหน้าร้าน (Travel retail) ปรับตัวดีขึ้น
ธุรกิจ Luxury brands อย่างเช่น LVMH และ Hermes ต่างเป็นธุรกิจที่มีระบบการจัดการที่ดี ธุรกิจมีเงินสดมาก และสามารถรักษาอัตรากำไรสูงได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งสองธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาได้รับประโยชน์จากการปรับตัว เช่น การใช้ช่องทางดิจิทัลที่เปิดโอกาสในการนำเสนอผลิตภัณฑ์สู่ตลาดกลุ่ม Gen Z ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหม่, ลูกค้าจากกลุ่มประเทศอเมริกากลาง รวมไปถึงการเข้าถึงลูกค้าคนจีนในเมืองรอง
การปรับตัวเหล่านี้ของธุรกิจ Luxury brands เป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ธุรกิจต่างมีผลการดำเนินดีต่อเนื่อง ดังเช่นปี 2022 ที่ผ่านมาที่ตลาดใหญ่อย่างจีนปิดประเทศ ผู้จัดการกองทุนกล่าวต่อว่าก็ไม่แปลกใจเลยที่ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกจะดีเกินคาด เพราะเมื่อตลาดใหญ่อย่างจีนเปิดขึ้นมาอีกครั้งตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา
\
ผู้จัดการ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์เคยคาดว่าผลของการเปิดประเทศของจีนสะท้อนเข้าไปราคาหุ้นของธุรกิจ Premium brands ไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งการประกาศผลประกอบการของธุรกิจเหล่านี้ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีก็ยืนยันการนำเสนอของผู้จัดการกองทุนก่อนหน้านี้แล้วว่า ราคาหุ้นของบรรดาธุรกิจ Luxury brands ในปีที่แล้วยังไม่ได้รวมผลดีของการเปิดประเทศของจีนเข้าไป
ผลประกอบการของธุรกิจ Luxury brands ทีดีในปีที่ผ่านมา ก็เกิดจากความได้เปรียบของธุรกิจที่สามารถกำหนดราคาได้ ดังจะเห็นได้จากช่วงโควิดที่มีสินค้าหลายแบรนด์ปรับราคาสินค้าขึ้นสวนตลาดแต่กลับทำให้ผลประกอบการธุรกิจดีขึ้นท่ามกลางที่ธุรกิจอื่น ๆ ถูกมรสุมกันทั่วหน้า
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ธูรกิจต่างประกาศผลประกอบการในไตรมาส 1 ปีนี้ดีเกินคาดแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าผลประกอบการในไตรมาสตามๆ มา อาจจะไม่ได้มากเท่านี้ แต่สิ่งที่ผู้จัดการกองทุนมั่นใจคือ ธุรกิจ Luxury brands มีแนวโน้มดีต่อเนื่องด้วยลักษณะเฉพาะของธุรกิจเองที่ทำให้ไม่ยากนักที่ธุรกิจจะขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ที่สำคัญก็เป็นทางเดินของธุรกิจในปีนี้ด้วย
กลยุทธ์ของกองทุน Pictet Premium Brands ลงทุนมากกว่า Luxury brands
กลยุทธ์ลงทุนของกองทุน B-PREMIUM ไม่ได้มีแค่ Luxury brands แต่เป็นการหาธุรกิจที่ผลิตสินค้าระดับ Premium คุณภาพสูง เพื่อการลงทุน ทำให้การลงทุนของกองทุนได้ประโยชน์จาก
- พอร์ตลงทุนมีความหลากหลาย กระจายลงทุน ทั่งในแง่ของประเภทธุรกิจ การผสมกันระหว่างธุรกิจที่มีวัฐจักรธูรกิจกำลังขึ้น หรือกำลัง เช่น เครื่องสำอาง อาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางและพักผ่อน
- สำหรับปีนี้ ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีนก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อธุรกิจ Luxury brands แต่จะค่อย ๆ ทยอยส่งผลดีต่อ Premium brands อื่น ๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น ธุรกิจการเดินทางพักผ่อน เป็นต้น
ความแข็งแกร่งของ Premium brands
จุดเด่นของ Premium brands คือเป็นสินค้าที่มีความต้องการใช้ มีอำนาจกำหนดราคา ทำให้เป็นธุรกิจที่ภูมิคุ้มกันกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยได้ในระดับหนึ่ง
คุณลักษณะที่แข็งแกร่งที่รับประกันความสำเร็จของ Premium brands ประกอบด้วย 5 ประการ ได้แก่ Differentiation, Experience, Brand integrity, Digital integration และ Operational excellence ทำให้ธุรกิจ Premium brands มีแนวโน้มเติบโตได้ดีในระยะยาว ได้แก่
- การขยายตัวของคนชั้นกลางทั่วโลกต่างก็ต้องการใช้สินค้ามีคุณภาพที่ดีขึ้น
- ผลิตภัณฑ์ Premium brand มีความหลากหลายตั้งแต่น้ำหอมหรือลิปสติกราคา 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปจนถึง Haute Couture ซึ่งมีมูลค่าหลายแสนดอลลาร์สหรัฐฯ
- ธุรกิจที่ลงทุนผ่านบทพิสูจน์การยอมรับที่ยาวนาน หุ้นของบริษัทที่ลงทุนประมาณ 25% ในพอร์ตโฟลิโอ เป็นธุรกิจ Premium brands ที่มีอายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งแสดงว่าผ่านร้อนผ่านหนาวซึ่งเป็นบททดสอบความแข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน
- อำนาจการกำหนดราคาอยู่ในมือธุรกิจ LVMH และ Hermes สามารถเพิ่มราคาได้ประมาณ 8% ส่งผลใ้ห้รายได้การขายในไตรมาสที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 25% อำนาจนี้ไม่ได้มีผลดีเฉพาะธุรกิจ กับลูกค้าของแบรนด์ก็ได้รับประโยชน์ไปด้วยจากการคงคุณค่าของสินค้าที่ใช้ และนี่ก็เป็นสิ่งที่สร้าง Brand loyalty ทำให้แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี แม้ปรับราคาขึ้น แต่สินค้าก็ยังเป็นที่ต้องการ
ผู้จัดการกองทุนมอง Premium brands ปี 2023
ความอัดอั้นของผู้บริโภคชาวจีนได้ระเบิดออกมาทันทีหลังเปิดประเทศ ร้านค้า Hermes บูทิก ร้านเดียวในจีน ในวันแรกของการเปิดเมืองเพียงวันเดียวก็มียอดขายทะลุ 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และนี่เองก็ส่งผลต่อผลประกอบการที่ดีของ Premium brands ในไตรมาสแรกปีนี้ และคาดว่าในธุรกิจอื่น ๆ ก็จะทยอยออกมาดีต่อเนื่อง
สำหรับครึ่งหลังปี 2023 ผู้จัดการกองทุนคาดว่าธุรกิจการท่องเทียวจะกลับมาอย่างจริงจัง เช่น Premium brands กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและพักผ่อน การค้าปลีก เครื่องสำอาง และเครื่องดื่ม
การกลับมาเปิดประเทศของจีนทำให้ปัญหาห่วงโซ่อุปทานใน ธุรกิจ Premium brands บางกลุ่ม เช่น เครื่องกีฬา กลับมาเป็นปกติ และเป็นผลดีต่อธุรกิจในปีนี้
BBLAM แนะนำกองทุน
กองทุนลงทุนหุ้น Premium brand : B-PREMIUM
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://www.bblam.co.th/bualuang-insights/bblam-investment-insights/24-28-2023