กองทุนผสมบีซีเนียร์สาหรับวัยเกษียณ (B-SENIOR)
กองทุนผสมบีซีเนียร์สาหรับวัยเกษียณ เอ็กซ์ตร้า (B-SENIOR-X)
กองทุนเปิดบัวหลวงอินคัม (B-INCOME) และกองทุนเปิดบัวหลวงอินคัมเพื่อการออม (B-INCOMESSF)
ตราสารหนี้
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นในแทบทุกช่วงอายุ โดยช่วงอายุไม่เกิน 1 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 19 – 25 bps. ในขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางถึงระยะยาวปรับเพิ่มขึ้น 1 – 16 bps. เป็นการปรับเพิ่มขึ้นตามความคาดการณ์ของตลาดที่มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะขยับขึ้นสู่ระดับ 2.00% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 31 พ.ค. 2566
• เมื่อวันที่ 31 พ.ค. คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps เป็น 2.00% ต่อปี ตามที่ตลาดคาด และมองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่ การส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ประเมินเศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ 3.6% และ 3.8% ในปี 2023 และ 2024 สำหรับเงินเฟ้อมองว่า แม้มีแนวโน้มปรับลดลงในส่วนของอัตราเงินเฟ้อทั่วไป แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวในระดับสูง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะทรงตัวอยู่ที่ 2% ในปี 2023 และ 2024 ซึ่งนับว่าสูงเมื่อเทียบกับตัวเลขในอดีต จึงเห็นว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องยังเหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทย
• ในส่วนของตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ตลาดเผชิญความผันผวนอย่างหนักตลอดทั้งเดือน จากความวิตกเกี่ยวกับปัญหาเพดานหนี้ (Debt Ceiling) อย่างไรก็ดี ความกังวลนี้คลายลง หลังสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาของสหรัฐฯ ลงมติผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้ ที่ชื่อ พ.ร.บ.ความรับผิดชอบทางการคลัง (Fiscal Responsibility Act) ในวันที่ 2 มิ.ย.และในวันที่ 5 มิ.ย. ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ลงนามบังคับใช้กฎหมายเพื่อระงับการตั้งเพดานหนี้จนถึงเดือนมกราคม 2025 และเปิดทางให้รัฐบาลเดินหน้ากู้ยืมได้เกินกว่าระดับเพดานหนี้ปัจจุบันที่ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ฯ เป็นระยะเวลา 19 เดือนบนเงื่อนไขที่กำหนดนอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้ว ตลาดยังผันผวนจากความคาดหวังของตลาดที่เปลี่ยนไปมาเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของเฟด จากเดิม ตลาดคาดว่า เฟดมีแนวโน้มยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ยจนถึงอาจลดดอกเบี้ยภายในปีนี้ เปลี่ยนเป็นเฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีก 1 – 2 ครั้งภายในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตดีกว่าคาด เงินเฟ้อแม้ชะลอแต่คงตัวในระดับสูง รวมถึงตลาดแรงงานที่ชะลออย่างช้าๆ แต่แข็งแกร่งกว่าคาด สำหรับการประชุม Fed ครั้งถัดไปจะมีขึ้นในวันที่ 13 – 14 มิ.ย.
• แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทยในระยะต่อไป คาดว่าปริมาณพันธบัตรเสนอขายที่ลดลงในไตรมาสสี่จากความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นปัจจัยบวกสนับสนุนราคาพันธบัตร อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นจะปรับตัวตามดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งมองว่ามีโอกาสที่ กนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสู่ระดับ 2.25% จากท่าทีของธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีมุมมองห่วงปัญหาเงินเฟ้อและเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวมีแนวโน้มผันผวนตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯ
ตราสารทุน
• ตลาดหุ้นโลกปรับตัวลดลงเล็กน้อยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยผลตอบแทนระหว่างหุ้นเติบโตสูงกับหุ้นกลุ่มวัฏจักรค่อนข้างแตกต่างกัน โดยหุ้นเติบโตสูงซึ่งนำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก ด้วยการขับเคลื่อนโดยปัจจัย อาทิ ผลประกอบการที่ดีของหุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะบริษัทที่ได้ผลประโยชน์จากการเพิ่มการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมทั้งหลายบริษัทในกลุ่มซอฟท์แวร์มีผลประกอบการที่ดีกว่าตลาดคาด นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจากสัญญาณการใกล้หยุดขึ้นดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นที่ไม่ใช่เทคโนโลยี ทั้งในสหรัฐฯ รวมถึงตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก ส่วนใหญ่ดัชนีจะทรงตัวหรือปรับตัวลดลง ด้วยความเสี่ยงจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังมีสัญญาณชะลอลง โดยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั้นมีสัญญาณที่ปะปนทั้งด้านดีและไม่ดี โดยดัชนี ISM ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ปรับตัวลดลง ขณะที่ ตัวเลขการจ้างงานยังค่อนข้างแข็งแกร่ง ส่วนทางด้านเศรษฐกิจจีนที่เคยถูกคาดหวังว่าจะเป็นตัวผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ก็ฟื้นตัวไม่ได้เร็วอย่างที่หลายฝ่ายคาด โดยภาพรวมนับว่าเศรษฐกิจโลกแม้จะชะลอตัว แต่ก็ไม่ได้เป็นการชะลอรุนแรงมากนัก ซึ่งตลาดหุ้นน่าจะตอบสนองต่อแนวโน้มดังกล่าวไปพอบ้างแล้ว โดยราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวมาเร็วในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา อาจจะมีการย่อตัวบ้างด้วย Valuation ที่ตึงตัวมากขึ้น แต่หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่อิงกับภาวะเศรษฐกิจนั้น น่าจะไม่ปรับตัวลงไปมากนักจากระดับปัจจุบันด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจ (ถ้าไม่ได้มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจาในตลาดหุ้น)
• ด้านสหรัฐฯ การบรรลุข้อตกลงการขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่ทำให้ความกังวลต่อการผิดชาระหนี้ของสหรัฐฯได้คลี่คลายออกไป ยังมีเรื่องโอกาสที่ FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 25 bps จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังออกมาแข็งแกร่ง และยังคงมองว่าปัญหาเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังไม่สิ้นสุดลง
• ตลาดหุ้นไทยดัชนี SET Index ค่อนข้างทรงตัวจากพฤษภาคม โดยมีความผันผวนช่วงหลังเลือกตั้งอยู่บ้าง อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ช้ากับการที่จานวนนักท่องเที่ยวจีนชะลอกว่าที่คาด (ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการผ่านช่วง High season ของการท่องเที่ยว) ทำให้มีแรงขายในหุ้นกลุ่มโรงแรม และหุ้นวัฏจักร เช่น กลุ่มปิโตรเคมี หรือกลุ่มบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งตอนนี้ ตลาดน่าจะตอบสนองต่อความไม่แน่นอนต่างๆ ไปพอสมควรแล้ว และหลังจากนี้ นักลงทุนน่าจะกลับมาให้น้ำหนักกับแนวโน้มผลประกอบการของหุ้นรายตัวมากขึ้น ซึ่งหลังจากผลประกอบการไตรมาส 1/2566 หุ้นที่อิงกับการบริโภคในประเทศส่วนใหญ่ยังแสดงถึงสัญญาณการฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ และคาดว่ามีโอกาสที่การฟื้นตัวจะมีความต่อเนื่องได้ในช่วงที่เหลือของปี อีกทั้ง หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงมาพอสมควรก็อาจจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นได้ ถ้าหากเศรษฐกิจโลกไม่ได้แย่อย่างที่หลายฝ่ายกังวลกันและสามารถกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้นในปีหน้า ซึ่งน่าจะช่วยให้การฟื้นตัวของหุ้นไทยยังมีโมเมนตัมต่อเนื่องได้หลังจากนี้
• ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 31.7% กลุ่มยานยนต์ 5.8% และกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต 4.0% ในขณะที่ กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี -8.3% กลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ -6.5% และกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง -6.2% โดยปริมาณการซื้อขายในเดือนพฤษภาคมนั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 3.3 หมื่นล้านโดยเป็นการขายสี่เดือนติดต่อกัน นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.5 หมื่นล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 0.2 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 3 หมื่นล้านบาท
• ปัจจัยทางการเมืองเข้ามามีผลให้ต่างชาติเทขายหุ้นไทยจากความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล โดยที่ต่างชาติขายหุ้นไทย 616 ล้านเหรียญ ทั้งเดือนพ.ค. และขาย 2.3 พันล้านเหรียญตั้งแต่ต้นปี ทำให้มองว่าตลาดรับรู้ความเสี่ยงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลไปแล้ว ในขณะที่ เศรษฐกิจไทยกาลังฟื้นตัว ซึ่งจะดีต่อหุ้นที่เน้นการบริโภคในประเทศ ราคาหุ้นที่ปรับลงมาทาให้เราเพิ่มน้าหนักและแนะนาสะสมหุ้นไทย
• กลยุทธ์การลงทุนและมุมมองในไตรมาส 2/2566 ยังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยนั้นยังมีโอกาสในการฟื้นตัว นาโดยภาคการท่องเที่ยว โดยคาดว่าหลังจากเห็นความชัดเจนจากการเลือกตั้งแล้ว หากประเทศไทยได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพมีการฟังความเห็นของภาคเศรษฐกิจมาปรับนโยบายให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวของประเทศ ตลาดหุ้นไทยจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นได้
สินทรัพย์ทางเลือก
• การลงทุนใน Thai REITs ที่ Slightly Overweight บลจ. บัวหลวงเชื่อว่าแรงกดดันจากดอกเบี้ยจะลดลงในระยะถัดไป เราเชื่อว่าการฟื้นตัวในเชิงของกาไรและเงินปันผลยังคงต่อเนื่อง จึงมองเป็นโอกาสในการสะสมกลุ่ม REITs ยิ่งไปกว่านั้น เราเชื่อว่า REITs ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือเพื่อใช้กระจายความเสี่ยงของพอร์ต และยังเป็นแหล่งกระแสเงินสดที่น่าสนใจ และคาดว่าการเติบโตด้านผลกำไร และเงินปันผล ของ REIT ไทย ในปีนี้ น่าจะเห็นระดับสองหลัก (>10%) หนุนจากการฟื้นตัวในหลายหลายอุตสาหกรรม เช่น Retail, Hotel, Industrial โดยปัจจุบัน
อัตราเงินปันผลคาดการณ์อยู่ที่ระดับ 7.5% ในปี 2023 ในขณะที่ ส่วนต่างเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย อยู่เหนือระดับค่าเฉลี่ยในอดีต (ประมาณ +/-4.5%-5% เมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี)
• การเพิ่ม Allocation มายังทองคำจากทางฝั่ง Strategic investor ได้แก่ ธนาคารกลาง ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ด้าน Physical Market อยู่ในช่วง Low Season และ Investment Demand ยังคงไม่เร่งตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งต้นทุนทองคาหน้าเหมืองปรับขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ US$1,276/oz (+18% YoY) ในขณะที่ ความกังวลเรื่อง Geopolitical Issue ยังคงดาเนินอยู่ และการสิ้นสุดของรอบการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐ จะช่วยจำกัด Downside risk ของราคาทองถัดจากนี้ โดยคาดการณ์ทองคำเคลื่อนไหวระยะสั้น น่าจะเคลื่อนไหว Sideway อยู่ระดับไม่เกิน 1,850 – 2,000 เหรียญต่อออนซ์
พอร์ตการลงทุนไตรมาสที่ผ่านมา
B-SENIOR:
• ในส่วนตราสารหนี้ ในส่วนตราสารหนี้ กองทุนลดสัดส่วนพันธบัตรระยะสั้นและปานกลาง แต่เพิ่มสัดส่วนหุ้นกู้ อายุเฉลี่ยของพอร์ต (Portfolio duration) จึงลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย
• ในส่วนตราสารทุน กองทุนลดน้ำหนักในหุ้น โดยลดน้ำหนักในหุ้นกลุ่ม วัสดุก่อสร้าง ขนส่ง พลังงาน ปิโตรเคมี และ อสังหาริมทรัพย์ โดยได้เพิ่มสัดส่วน อาหาร ธนาคาร และพาณิชย์ และ กองทุนยังได้เพิ่มน้ำหนักในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มเดินทางขนส่ง และกองทุนอสังหาริมทรัพย์กลุ่มค้าปลีก
B-SENIOR-X:
• ในส่วนตราสารหนี้ กองทุนเพิ่มสัดส่วนพันธบัตรระยะสั้น และหุ้นกู้ และลดน้ำหนักเงินฝาก กองทุนยังได้เพิ่มสัดส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ Global bond และ Asian short duration Bond อายุเฉลี่ยของพอร์ต (Portfolio duration) จึงเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน
• ในส่วนของหุ้นในประเทศ กองทุนลดน้ำหนักในหุ้น โดยลดน้ำหนักในหุ้นกลุ่ม วัสดุก่อสร้าง ธนาคาร พลังงาน ปิโตรเคมี อสังหาริมทรัพย์ และ ขนส่ง โดยได้เพิ่มสัดส่วนหุ้นกลุ่ม อาหาร โรงพยาบาล และพาณิชย์
• สาหรับหุ้นต่างประเทศ กองทุนลดสัดส่วนในหุ้นวัสดุก่อสร้าง ค้าปลีก ธนาคาร ของเวียดนาม และอสังหาริมทรัพย์ของฟิลิปปินส์ โดยลงทุนเพิ่มในหุ้นสื่อสารของเวียดนาม
• สำหรับ Property Fund/REITs/Infrastructure Fund กองทุนได้เพิ่มน้ำหนักในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มขนส่ง โทรคมนาคม และเพิ่มน้ำหนักกองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ กลุ่มโลจิสติกส์
B-INCOME:
• ในส่วนตราสารหนี้ กองทุนลดสัดส่วน พันธบัตรระยะสั้น และเงินฝาก แต่เพิ่มน้ำหนักในหุ้นกู้ และ กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ (Global bond และ Asian short duration bond) ทำให้อายุเฉลี่ยของพอร์ต (Portfolio duration) สูงขึ้นจากไตรมาสก่อน
• ในส่วนตราสารทุน กองทุนได้ลดน้ำหนักหุ้นกลุ่มอาหาร และลงทุนเพิ่มกลุ่มพลังงาน ธนาคาร สื่อสาร และวัสดุก่อสร้าง ส่วนหุ้นต่างประเทศยังคงสัดส่วนเท่าเดิม
• สำหรับ Property Fund/REITs/Infrastructure Fund กองทุนได้เพิ่มน้าหนักในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มขนส่ง โทรคมนาคม และเพิ่มน้ำหนักกองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ กลุ่มโลจิสติกส์
Disclaimer: เอกสารนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องครบถ้วน หรือความสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวได้ และบริษัทฯ อาจเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เอกสารนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน มิได้มีวัตถุประสงค์ชักชวน ชี้นำ ให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจลงทุนทางการเงิน หรือการตัดสินใจในทางธุรกิจแต่อย่างใด ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังและวิจารณญาณจากการใช้ข้อมูลบางส่วนหรือทั้งหมดของเอกสารฉบับนี้ ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุในคู่มือการลงทุนในกองทุน RMF/SSF ก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดาเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดาเนินงานในอนาคต