ตลาดหุ้นโลกในเดือนมีนาคมปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯได้ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีสูงถึง 10.2% หลังจากที่ตลาดคลายความกังวลต่อทิศทางดอกเบี้ยลงจากผลการประชุมของ FED เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ย และยังมีท่าทีที่ผ่อนคลายมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทั้งการส่งสัญญาณในการลดอัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีการปรับการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจไปในทิศทางที่ดีขึ้น และคาดว่าเศรษฐกิจจะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกัน FED ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตัวเลขเงินเฟ้อที่จะค่อยๆลดลงสู่เป้าหมายในระยะยาว แม้ว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจะเห็นตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดก็ตาม ซึ่งทาง FED มองว่าเป็นเพียงแค่ปัจจัยทางฤดูกาลเท่านั้น โดยจากท่าทีดังกล่าวส่งผลเชิงบวก และยังสามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น สำหรับ
ประเด็นที่น่าติดตามต่อจากนี้ คือ ผลประกอบการในไตรมาสแรกของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มทยอยประกาศออกมาในเดือนเมษายน ซึ่งจากการคาดการณ์ของตลาดพบว่ามีหุ้นจาก 5 ใน 11 อุตสาหกรรมที่มีผลประกอบการออกมาได้ดีกว่าดัชนี S&P500 และมี 3 ใน 5 อุตสาหกรรมที่มีการปรับการประมาณการของกำไรที่เพิ่มขึ้นจากช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา ได้แก่ Information Technology, Communication Services และ Consumer Discretionary เป็นต้น ซึงโดยภาพรวมแล้วเราเห็นโมเมนตัมทางเศรษฐกิจในทิศทางที่ดีขึ้น อีกทั้งพัฒนาการของกำไรในบริษัทจดทะเบียนในเชิงบวก จึงเป็นตัวหนุนนำให้ทิศทางของตลาดไปในทางที่ดีขึ้นต่อจากนี้
ในฝั่งตลาดหุ้นไทยในเดือนมีนาคมปรับตัวลดลงเล็กน้อย หลังจากที่ตลาดเผชิญแรกกดดันก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็น ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแย่กว่าตลาดคาด การบริโภคที่ชะลอตัว ส่งผลให้เห็นถึงการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนลงอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นแรงขายจากทั้งนักลงทุนต่างชาติ และสถาบันในช่วงที่ผ่านมา สำหรับภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้เรามองเห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการผ่านร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ระหว่างการรอประกาศใช้ต่อจากนี้ ทำให้เราเห็นถึงการฟื้นตัวของการใช้จ่ายจากทางภาครัฐที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกให้กับหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างได้ต่อจากนี้
ในขณะเดียวกันเรายังเห็นถึงการผลักดันต่อการกระตุ้นภาคการบริโภคจากทางภาครัฐ อย่างเช่นมาตราการ Digital Wallet ที่ได้ถูกพูดถึงกันอย่างต่อเนื่อง และจะถูกนำกลับมาพิจารณาและสรุปรายละเอียดกันอีกครั้งในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ในเดือนที่ผ่านมายังมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ให้กับ 10 จังหวัดนำร่องในกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จึงเป็นส่วนช่วยการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนได้อีกทางนึง สำหรับประเด็นที่น่าติดตามต่อจากนี้ ได้แก่ การประชุมของกนง. ที่จะมีขึ้นในเดือนเมษายนนี้ โดยตลาดยังมองว่า กนง. มีท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้น และมีความคาดหวังว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกให้กับต้นทุนที่ลดลงของผู้ประกอบการและตลาดหุ้นไทยได้ต่อจากนี้ ซึ่งโดยภาพรวมการลงทุนหุ้นไทยในปัจจุบันเรามองว่ายังควรให้น้ำหนักกับการลงทุนเป็นรายอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวอยู่
Fund Comment
Fund Comment มีนาคม 2024: ภาพรวมตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นโลกในเดือนมีนาคมปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯได้ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีสูงถึง 10.2% หลังจากที่ตลาดคลายความกังวลต่อทิศทางดอกเบี้ยลงจากผลการประชุมของ FED เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ย และยังมีท่าทีที่ผ่อนคลายมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทั้งการส่งสัญญาณในการลดอัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีการปรับการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจไปในทิศทางที่ดีขึ้น และคาดว่าเศรษฐกิจจะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกัน FED ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตัวเลขเงินเฟ้อที่จะค่อยๆลดลงสู่เป้าหมายในระยะยาว แม้ว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจะเห็นตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดก็ตาม ซึ่งทาง FED มองว่าเป็นเพียงแค่ปัจจัยทางฤดูกาลเท่านั้น โดยจากท่าทีดังกล่าวส่งผลเชิงบวก และยังสามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น สำหรับ
ประเด็นที่น่าติดตามต่อจากนี้ คือ ผลประกอบการในไตรมาสแรกของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มทยอยประกาศออกมาในเดือนเมษายน ซึ่งจากการคาดการณ์ของตลาดพบว่ามีหุ้นจาก 5 ใน 11 อุตสาหกรรมที่มีผลประกอบการออกมาได้ดีกว่าดัชนี S&P500 และมี 3 ใน 5 อุตสาหกรรมที่มีการปรับการประมาณการของกำไรที่เพิ่มขึ้นจากช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา ได้แก่ Information Technology, Communication Services และ Consumer Discretionary เป็นต้น ซึงโดยภาพรวมแล้วเราเห็นโมเมนตัมทางเศรษฐกิจในทิศทางที่ดีขึ้น อีกทั้งพัฒนาการของกำไรในบริษัทจดทะเบียนในเชิงบวก จึงเป็นตัวหนุนนำให้ทิศทางของตลาดไปในทางที่ดีขึ้นต่อจากนี้
ในฝั่งตลาดหุ้นไทยในเดือนมีนาคมปรับตัวลดลงเล็กน้อย หลังจากที่ตลาดเผชิญแรกกดดันก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็น ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแย่กว่าตลาดคาด การบริโภคที่ชะลอตัว ส่งผลให้เห็นถึงการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนลงอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นแรงขายจากทั้งนักลงทุนต่างชาติ และสถาบันในช่วงที่ผ่านมา สำหรับภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้เรามองเห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการผ่านร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ระหว่างการรอประกาศใช้ต่อจากนี้ ทำให้เราเห็นถึงการฟื้นตัวของการใช้จ่ายจากทางภาครัฐที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกให้กับหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างได้ต่อจากนี้
ในขณะเดียวกันเรายังเห็นถึงการผลักดันต่อการกระตุ้นภาคการบริโภคจากทางภาครัฐ อย่างเช่นมาตราการ Digital Wallet ที่ได้ถูกพูดถึงกันอย่างต่อเนื่อง และจะถูกนำกลับมาพิจารณาและสรุปรายละเอียดกันอีกครั้งในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ในเดือนที่ผ่านมายังมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ให้กับ 10 จังหวัดนำร่องในกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จึงเป็นส่วนช่วยการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนได้อีกทางนึง สำหรับประเด็นที่น่าติดตามต่อจากนี้ ได้แก่ การประชุมของกนง. ที่จะมีขึ้นในเดือนเมษายนนี้ โดยตลาดยังมองว่า กนง. มีท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้น และมีความคาดหวังว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกให้กับต้นทุนที่ลดลงของผู้ประกอบการและตลาดหุ้นไทยได้ต่อจากนี้ ซึ่งโดยภาพรวมการลงทุนหุ้นไทยในปัจจุบันเรามองว่ายังควรให้น้ำหนักกับการลงทุนเป็นรายอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวอยู่