สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกมาวิจารณ์การตัดสินใจของประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่เดินหน้าขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนบางรายการมากเกินไป พร้อมเตือนว่า ความตึงเครียดระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อการค้าและการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
“เราคิดว่า จะเป็นการดีกว่า ถ้าสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายการค้าแบบเปิดกว้าง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ” Julie Kozack โฆษกของ IMF กล่าววานนี้ (16 พ.ค.) หลังสื่อถามถึงประเด็นที่เกิดขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์
โฆษก IMF ระบุว่า “เรายังคงสนับสนุนให้สหรัฐฯ และจีนหันหน้าเข้าหากัน เพื่อหาทางออกสิ่งที่เป็นข้อกังวลหลักๆ ที่สร้างความตึงเครียดด้านการค้า และขอเรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมมือกันภายใต้กรอบความร่วมมือแบบพหุภาคี เพื่อแก้ไขความเห็นต่างเหล่านี้”
ขณะที่ เมื่อเดือนที่แล้ว นางคริสตาลินา จอร์เจียวา กรรมการผู้จัดการ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า “ทุกสายตาจับจ้องไปที่สหรัฐฯ” โดย IMF เริ่มวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ มากขึ้นเรื่อยๆ จากการใช้นโยบายที่สร้างผลกระทบไปทั้งโลก ซึ่งรวมถึงการก่อหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น มาตรการควบคุมการค้า และนโยบายด้านอุตสาหกรรมที่พุ่งเป้าสกัดการเติบโตของจีน รวมไปถึงผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ซึ่งทำให้สกุลเงินทั่วโลกอ่อนค่าลง ขณะที่ เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น
ทางด้านเลล เบรนาร์ด ที่ปรึกษาระดับสูงฝ่ายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกมากล่าวปกป้องการบังคับใช้มาตรการขึ้นภาษีว่า เป็นเรื่องจำเป็นเพื่อปกป้องภาคการผลิตและการจ้างงานของสหรัฐฯ จากสินค้าส่งออกของจีนที่ตัดราคาอย่างไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ ข้อมูลวิจัยของ IMF ยังระบุว่า การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ (Economic Fragmentation) อาจส่งผลให้เกิดผลที่ตามมาหลายรูปแบบ โดยในกรณีที่รุนแรงที่สุด เศรษฐกิจโลกอาจหดตัวลง 7% เท่ากับขนาดเศรษฐกิจของเยอรมนีและญี่ปุ่นรวมกัน โดยโฆษกของ IMF ระบุว่า ผลกระทบที่ตามมาอาจรุนแรงขึ้นหากแยกย่อยออกเป็นด้านการค้าและด้านเทคโนโลยี
ที่มา: บลูมเบิร์ก