ผู้ว่า ธปท.ย้ำ “ดิจิทัลวอลเล็ต” ควรแจกเงินเฉพาะกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่จำเป็นต้องกระตุ้นอุปสงค์โดยรวม เชื่อการเติบโตเศรษฐกิจไทยกลับมาสู่ศักยภาพที่ 3% แม้ไม่มีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
วันที่ 19 มิถุนายน 2567 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์กในวันที่ 18 มิ.ย.2567 ว่า ธปท.ยังคงยืนกรานคัดค้านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต มูลค่า 5 แสนล้านบาท ในการแจกเงิน 10,000 บาท ให้กับประชาชนกว่า 50 ล้านคน พร้อมระบุถึงสิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ การให้ความสำคัญกับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่า
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า การบริโภคภาคเอกชนมีการคาดการณ์ว่าจะขยายตัวประมาณ 4% ในปี 2567 หลังจากปี 2566 เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7% จึงทำให้ไม่จำเป็นต้องกระตุ้นอุปสงค์โดยรวม
สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะแจกเงินให้กับประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป จำนวน 50 ล้านคน โดยจะได้รับคนละ 10,000 นั้น ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า โครงการดังกล่าวควรจะครอบคลุมเฉพาะผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพียง 15 ล้านคนเท่านั้น
แม้ว่าความคิดเห็นของผู้ว่าการ ธปท.จะสอดคล้องกับมุมมองของ ธปท.ก่อนหน้านี้ แต่การแสดงความเห็นในช่วงเวลานี้ตอกย้ำความบาดหมางระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับรัฐบาลในแง่ของการบริหารเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่การผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท ของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ก็ไม่ง่ายนัก เมื่อต้องเผชิญกับคำถามมากมายถึงงบประมาณและความล่าช้าของโครงการ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้หลบเลี่ยงการคัดค้านโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมาโดยตลอด และมองว่าโครงการนี้จะเป็นหนึ่งในวิธีที่จะยกระดับเศรษฐกิจไทยจากการเติบโตที่ชะลอตัวมานานหลายปี พร้อมเน้นย้ำว่าโครงการนี้จะมีผลกระทบต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ในวันที่ 19 มิ.ย.2567 นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อการประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า ภาษีที่จัดเก็บจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ด้านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “หากต้องการดำเนินโครงการนี้ ควรจะทำแบบมีเป้าหมายและจำกัดวง เนื่องจากไม่เห็นถึงความจำเป็นในการกระตุ้นการบริโภคอย่างทั่วถึง”
พร้อมกล่าวว่า แม้ว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว แต่ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางยังคงประสบปัญหาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และยังควต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้น การจำกัดวงเฉพาะผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ และมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐนั้น จะส่งผลที่ดีกว่าในแง่มุมมองทางการคลัง
ทั้งนี้ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียงเลือกตั้งหลักของพรรคเพื่อไทย ที่ยังคงยืนกรานดำเนินโครงการต่อไป แม้เผชิญกับข้อถกเถียงจำนวนมาก ทั้งเรื่องของงบประมาณ ที่ในช่วงแรกระบุว่าจะครอบคลุมผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด 55 ล้านคน และจะใช้เงินจากงบประมาณแผ่นดิน หลังจากนั้นรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนเกณฑ์ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ โดยตัดกลุ่มคนรวยออก และเปลี่ยนไปสู่การกู้เงินเพื่อนำมาใช้ในโครงการนี้แทน
อย่างไรก็ตาม ยังคงเผชิญจากความท้าทายด้านข้อกฎหมาย และความเห็นจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำให้รัฐบาลต้องกลับไปทบทวนถึงที่มาของแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้คำมั่นว่าดิจิทัลวอลเล็ตจะเริ่มในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 แม้ว่าจะยังคงมีความไม่แน่นอนถึงแหล่งที่มาของงบประมาณก็ตาม
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลด้านการธนาคาร ธปท. ได้ให้คำแนะนำแก่รัฐบาลเพื่อให้แน่ใจว่าการกู้เงินจำนวน 1.72 แสนล้านบาท จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและสภาพคล่องของ ธ.ก.ส.
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตมีความไม่แน่นอนพอสมควร และด้วยเหตุนี้ ธปท.จึงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 และปี 2568 ที่ 2.6% และ 3.0% ตามลำดับ โดยไม่รวมผลรวมจากโครงการดังกล่าว ทั้งนี้เชื่อว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะกลับมาสู่ศักยภาพที่ 3% แม้ว่าจะไม่มีโครงการดิจิทัลวอลเล็ตก็ตาม ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าเส้นทางนโยบายการเงินจะไม่ได้รับผลกระทบ แม้โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะไม่เกิดขึ้นก็ตาม
ด้านนักเศรษฐศาสตร์จาก Citigroup Inc. และ Nomura Holdings Inc. กล่าวว่า ขณะที่ความวุ่นวายทางการเมือง ทั้งกรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน และนายทักษิณ ชินวัตร ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สำคัญต่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยเฉพาะหากนายเศรษฐา ทวีสิน ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม
ที่มา: บลูมเบิร์ก