Fund Comment กรกฎาคม 2024: ภาพรวมตลาดหุ้น

Fund Comment กรกฎาคม 2024: ภาพรวมตลาดหุ้น

ตลาดหุ้นโลกในเดือนกรกฎาคมปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากเดือนที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดเกิดความผันผวนมากขึ้นระหว่างเดือน โดยจากผลการประชุมของ FED ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ โดยคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับเดิม แต่ได้ส่งสัญญาณพิจารณาลดดอกเบี้ยลง โดยคาดว่าจะสามารถลดได้อย่างเร็วที่สุดในรอบเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ และ FED ได้ให้ความเห็นต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปัจจุบันว่า แม้จะชะลอตัวลงบ้าง แต่เศรษฐกิจยังคงมีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญของเดือนกรกฎาคม ไม่ว่าจะเป็น US ISM Manufacturing หรือ การจ้างงานนอกภาคเกษตร ล้วนแต่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดค่อนข้างมาก ทำให้ตลาดเกิดความกังวลว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอลงเร็ว การลดดอกเบี้ยของ FED อาจจะไม่เพียงพอที่จะประคองภาวะเศรษฐกิจให้ชะลออย่างค่อยเป็นค่อยไป (Soft-landing) ความกังวลต่อต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยจึงกลับเข้ามาอีกครั้ง นอกจากนี้ การถอนตัวจากการลงสมัครเลือกตั้งในปีนี้ของประธานาธิบดี Joe Biden ทำให้แนวโน้มผลการเลือกตั้งยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทที่ประกาศออกมา แม้จะอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี แต่ด้วยการให้ Guidance ที่ไม่ได้สร้าง Positive surprise ให้กับตลาด ประกอบกับ Valuation ที่ตึงตัว โดยภาพรวม ปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาอยู่ในโหมดหลบเลี่ยงความเสี่ยง (Risk-off) และตลาดหุ้นปรับฐานค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

สำหรับตลาดหุ้นไทยในเดือนกรกฎาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และมีการแกว่งตัวระหว่างเดือนตามตลาดโลก แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายในประเทศที่สำคัญและตลาดยังคงเฝ้ารออยู่ อย่างผลการพิจารณาคดีถอดถอนนายกรัฐมนตรีในช่วงเดือนสิงหาคมยังคงเป็นความเสี่ยงที่ตลาดยังให้น้ำหนักอยู่ ถ้าหากผลการพิจารณาออกมาเป็นลบอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลในชุดปัจจุบันได้ต่อจากนี้ ในทางกลับกันตลาดหุ้นไทยระหว่างเดือนที่ผ่านมายังมีปัจจัยเชิงบวกที่เพิ่มเข้ามาระหว่างเดือน อาทิ ความคืบหน้าของโครงการ Digital Wallet ที่เริ่มเปิดให้ประชาชนเข้าลงทะเบียนในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยในการผลักดันการเติบโตของ GDP ไทยในปี 2568 ได้ รวมทั้ง ความคืบหน้าของกองทุน ThaiESG โดยทางภาครัฐมีมติเห็นชอบให้มีการขยายวงเงินเพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนบาท และลดระยะเวลาการถือครองลงเหลือ 5 ปี ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยในการนำเม็ดเงินกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยได้หลังจากนี้ อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยภายนอกประเทศที่เป็นลบมากขึ้น ขณะที่ ปัจจัยภายในประเทศที่เศรษฐกิจไทยยังคงมีความเปราะบาง และยังไม่ได้เห็นการฟื้นตัวของแนวโน้มผลประกอบการเท่าใดนัก ทำให้สภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันยังดูมีความเสี่ยงที่สูง และอาจจะนำไปสู่การปรับลดการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในประเทศลงต่อ ดังนั้นเรายังคงมีมุมมองที่ระมัดระวังในการลงทุนหุ้นไทยต่อจากนี้