อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รุ่น 2 และ 10 ปี ปรับลดลง -0.10% ถึง -0.25% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการ ดีเบตชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่าง Donald Trump และ Kamala Harris ที่ผลสำรวจคะแนนหลังการดีเบตทาง Kamala Harris มีคะแนนนำ ทำให้ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากนโยบายของ Kamala Harris มีทิศทางเชิงบวกต่อตลาดตราสารหนี้มากกว่า
สำหรับประเด็นด้านเศรษฐกิจ ตัวเลขทางเศรษฐกิจยังส่งสัญญาณชะลอตัว เช่น ตัวเลข Nonfarm Payrolls เดือนส.ค.ที่ 1.42 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.65 แสนตำแหน่ง ทำให้อัตราการว่างงานในเดือนส.ค.ยังทรงตัวอยู่ที่ 4.2% และอัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค.ที่ลดลงเหลือ 2.5% จากระดับ 2.9% ในเดือนก่อน ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังคงส่งสัญญาณชะลอตัวทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% เหลือ 4.75% – 5.00% ในการประชุมเดือนก.ย. พร้อมส่งสัญญาณผ่าน Dot Plot ว่า อาจจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ลงอีก 0.50% และในปีหน้าลงอีก 1.00% จะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED ณ สิ้นปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 3.25% – 3.50%
ขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ปรับลดลงเกือบทุกช่วงอายุตามการปรับลดลงของพันธบัตรสหรัฐฯ และยังได้รับปัจจัยบวกจากการประกาศแผนการกู้เงินประจำปีงบประมาณ 2025 ที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) มีแผนออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่ารวม 1.25 ล้านล้านบาทเท่ากับแผนการกู้เงินประจำปีงบประมาณก่อน ทำให้ตลาดตราสารหนี้ของไทยคลายความกังวลด้านปริมาณพันธบัตรรัฐบาลในระดับสูง
สำหรับในระยะต่อไป ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยในวันที่ 16 ต.ค.นี้ที่ตลาดตราสารหนี้ไทยได้ให้น้ำหนักถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง.ไประดับหนึ่งแล้ว รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งนโยบายของคู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่มีความแตกต่างกัน ทำให้ตลาดตราสารหนี้จะมีความผันผวนจนกว่าจะมีความชัดเจนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
Fund Comment
Fund Comment กันยายน 2024: มุมมองตลาดตราสารหนี้
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รุ่น 2 และ 10 ปี ปรับลดลง -0.10% ถึง -0.25% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการ ดีเบตชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่าง Donald Trump และ Kamala Harris ที่ผลสำรวจคะแนนหลังการดีเบตทาง Kamala Harris มีคะแนนนำ ทำให้ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากนโยบายของ Kamala Harris มีทิศทางเชิงบวกต่อตลาดตราสารหนี้มากกว่า
สำหรับประเด็นด้านเศรษฐกิจ ตัวเลขทางเศรษฐกิจยังส่งสัญญาณชะลอตัว เช่น ตัวเลข Nonfarm Payrolls เดือนส.ค.ที่ 1.42 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.65 แสนตำแหน่ง ทำให้อัตราการว่างงานในเดือนส.ค.ยังทรงตัวอยู่ที่ 4.2% และอัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค.ที่ลดลงเหลือ 2.5% จากระดับ 2.9% ในเดือนก่อน ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังคงส่งสัญญาณชะลอตัวทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% เหลือ 4.75% – 5.00% ในการประชุมเดือนก.ย. พร้อมส่งสัญญาณผ่าน Dot Plot ว่า อาจจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ลงอีก 0.50% และในปีหน้าลงอีก 1.00% จะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED ณ สิ้นปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 3.25% – 3.50%
ขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ปรับลดลงเกือบทุกช่วงอายุตามการปรับลดลงของพันธบัตรสหรัฐฯ และยังได้รับปัจจัยบวกจากการประกาศแผนการกู้เงินประจำปีงบประมาณ 2025 ที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) มีแผนออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่ารวม 1.25 ล้านล้านบาทเท่ากับแผนการกู้เงินประจำปีงบประมาณก่อน ทำให้ตลาดตราสารหนี้ของไทยคลายความกังวลด้านปริมาณพันธบัตรรัฐบาลในระดับสูง
สำหรับในระยะต่อไป ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยในวันที่ 16 ต.ค.นี้ที่ตลาดตราสารหนี้ไทยได้ให้น้ำหนักถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง.ไประดับหนึ่งแล้ว รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งนโยบายของคู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่มีความแตกต่างกัน ทำให้ตลาดตราสารหนี้จะมีความผันผวนจนกว่าจะมีความชัดเจนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ