ตลาดหุ้นโลกในเดือนพฤศจิกายนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า หลังจากการประกาศผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯโดยมีนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาเป็นประธานาธิบดีเป็นคนถัดไป ส่งผลให้ตลาดเกิดความคาดหวังต่อนโยบายทางเศรษฐกิจของทรัมป์ที่จะมีขึ้นในระยะต่อจากนี้ อาทิ การลดภาษี Corporate Tax ลงเหลือ 15% รวมถึงการลดความเข้มงวดของกฎระเบียบต่างๆ ในภาคธุรกิจลง ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในช่วงแรกของเดือน
แต่ในทางกลับกันราคาทองคำและตลาดหุ้นเกิดใหม่กลับปรับตัวลดลง จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งตัวขึ้น ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับกำแพงภาษีที่อาจจะมีขึ้นในอนาคต จึงเป็นตัวกดดันระยะสั้นให้กับตลาดหุ้นเกิดใหม่ และต่อมาการประชุมของ FED ที่มีขึ้นหลังจากการเลือกตั้ง โดยผลที่ออกมาก็เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ โดยลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps แต่ในขณะเดียวกัน ถ้อยแถลงของ FED เริ่มมีความไม่มั่นใจต่อเงินเฟ้อที่จะลงสู่เป้าหมายที่ 2% มากขึ้น ทำให้ตลาดมองว่า โอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมในครั้งถัดไปมีลดลง ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงเล็กน้อยในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนก่อนที่จะปรับตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมามีความผสมผสาน ทั้งตัวเลขเงินเฟ้อที่ขยับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ในขณะที่ตัวเลขการจ้างงานยังไม่มีความน่ากังวล ทำให้โดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจยังถือว่าเติบโตได้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นกับการปรับลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยจากภาพรวมแล้วเรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นโลก จากท่าทีนโยบายของทรัมป์ที่อาจจะไม่ได้มีความเข้มงวดเท่ากับที่ตลาดมองไว้ อีกทั้งยังมีนโยบายสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ในสหรัฐฯ เช่น หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นกลุ่มการเงิน และหุ้นขนาดเล็กที่จะได้รับประโยชน์จากความเข้มงวดของกฎเกณฑ์ที่น้อยลง เป็นต้น
ส่วนฝั่งตลาดหุ้นไทยเดือนพฤศจิกายนปรับตัวลดลงตามภูมิภาค หลังจากที่ตลาดได้เผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ทั้งสงครามรัสเซีย ยูเครน รวมถึงความกังวลต่อนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ในยุค 2.0 ที่จะเริ่มขึ้น ในส่วนของภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังเติบโตในระดับที่ช้า แต่ก็ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยจากตัวเลข GDP ล่าสุดในไตรมาส 3 ที่ออกมาเศรษฐกิจไทยขยายตัว 3% YoY และในไตรมาส 4 คาดว่าจะเห็นภาพการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีส่วนมาจากนโยบายของทางภาครัฐ อย่างการแจกเงิน 10,000 บาท ในรอบแรก โดยเราเชื่อว่า โมมันตัมทางเศรษฐกิจของไทยต่อจากนี้จะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากมาตรการที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น การแจกเงินเฟส 2 โครงการ Easy E-Receipt ที่อาจจะเห็นการกลับมาอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ซึ่งนโยบายต่างๆ เหล่านี้เป็นส่วนช่วยในการประคับประคองเศรษฐกิจไทยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แต่อย่างไรก็ตาม มุมมองการลงทุนหุ้นไทยต่อจากนี้ เราเห็นถึงความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่มีเพิ่มเข้ามามากขึ้น ดังนั้นสำหรับการลงทุนหุ้นไทยต่อจากนี้ ยังมองเป็น Selective Buy ในกลุ่มที่พึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก รวมถึงหุ้นในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต เป็นต้น
Fund Comment
Fund Comment พฤศจิกายน 2024: ภาพรวมตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นโลกในเดือนพฤศจิกายนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า หลังจากการประกาศผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯโดยมีนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาเป็นประธานาธิบดีเป็นคนถัดไป ส่งผลให้ตลาดเกิดความคาดหวังต่อนโยบายทางเศรษฐกิจของทรัมป์ที่จะมีขึ้นในระยะต่อจากนี้ อาทิ การลดภาษี Corporate Tax ลงเหลือ 15% รวมถึงการลดความเข้มงวดของกฎระเบียบต่างๆ ในภาคธุรกิจลง ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในช่วงแรกของเดือน
แต่ในทางกลับกันราคาทองคำและตลาดหุ้นเกิดใหม่กลับปรับตัวลดลง จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งตัวขึ้น ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับกำแพงภาษีที่อาจจะมีขึ้นในอนาคต จึงเป็นตัวกดดันระยะสั้นให้กับตลาดหุ้นเกิดใหม่ และต่อมาการประชุมของ FED ที่มีขึ้นหลังจากการเลือกตั้ง โดยผลที่ออกมาก็เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ โดยลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps แต่ในขณะเดียวกัน ถ้อยแถลงของ FED เริ่มมีความไม่มั่นใจต่อเงินเฟ้อที่จะลงสู่เป้าหมายที่ 2% มากขึ้น ทำให้ตลาดมองว่า โอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมในครั้งถัดไปมีลดลง ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงเล็กน้อยในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนก่อนที่จะปรับตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมามีความผสมผสาน ทั้งตัวเลขเงินเฟ้อที่ขยับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ในขณะที่ตัวเลขการจ้างงานยังไม่มีความน่ากังวล ทำให้โดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจยังถือว่าเติบโตได้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นกับการปรับลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยจากภาพรวมแล้วเรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นโลก จากท่าทีนโยบายของทรัมป์ที่อาจจะไม่ได้มีความเข้มงวดเท่ากับที่ตลาดมองไว้ อีกทั้งยังมีนโยบายสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ในสหรัฐฯ เช่น หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นกลุ่มการเงิน และหุ้นขนาดเล็กที่จะได้รับประโยชน์จากความเข้มงวดของกฎเกณฑ์ที่น้อยลง เป็นต้น
ส่วนฝั่งตลาดหุ้นไทยเดือนพฤศจิกายนปรับตัวลดลงตามภูมิภาค หลังจากที่ตลาดได้เผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ทั้งสงครามรัสเซีย ยูเครน รวมถึงความกังวลต่อนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ในยุค 2.0 ที่จะเริ่มขึ้น ในส่วนของภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังเติบโตในระดับที่ช้า แต่ก็ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยจากตัวเลข GDP ล่าสุดในไตรมาส 3 ที่ออกมาเศรษฐกิจไทยขยายตัว 3% YoY และในไตรมาส 4 คาดว่าจะเห็นภาพการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีส่วนมาจากนโยบายของทางภาครัฐ อย่างการแจกเงิน 10,000 บาท ในรอบแรก โดยเราเชื่อว่า โมมันตัมทางเศรษฐกิจของไทยต่อจากนี้จะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากมาตรการที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น การแจกเงินเฟส 2 โครงการ Easy E-Receipt ที่อาจจะเห็นการกลับมาอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ซึ่งนโยบายต่างๆ เหล่านี้เป็นส่วนช่วยในการประคับประคองเศรษฐกิจไทยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แต่อย่างไรก็ตาม มุมมองการลงทุนหุ้นไทยต่อจากนี้ เราเห็นถึงความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่มีเพิ่มเข้ามามากขึ้น ดังนั้นสำหรับการลงทุนหุ้นไทยต่อจากนี้ ยังมองเป็น Selective Buy ในกลุ่มที่พึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก รวมถึงหุ้นในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต เป็นต้น