สรุปผลการดำเนินงานของกองทุนหลัก Wellington Global Healthcare Equity Portfolio
กองทุนหลัก Wellington Global Healthcare สร้างผลตอบแทนในไตรมาสแรก 2.3% (เทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน MSCI World Health Care Net -1.2%)
ปัจจุบันพอร์ตลงทุนหลักลงทุนใน 132 บริษัททั่วโลก แบ่งเป็น Sub-sector กลุ่มย่อยดังนี้
1.Major Pharmaceutical สัดส่วน 15.01%
อาทิ บริษัท Bristol Myer Squibb สัดส่วน 3.87% บริษัท AstraZeneca PLC สัดส่วน 2.92%
2. Special Pharmaceutical and Biotechnology สัดส่วน 25.11%
อาทิ บริษัท Alkermes สัดส่วน 2.59% บริษัท Alnylam Pharmaceutic สัดส่วน 2.25%
3. Medical Technology สัดส่วน 13.62%
อาทิ บริษัท Boston Scientific สัดส่วน 3.03% บริษัท Becton Dickinson สัดส่วน 1.58%
4. Health service สัดส่วน 19.26%
อาทิ บริษัท HCA Holding Inc สัดส่วน 1.19% UnitedHealth Group สัดส่วน 4.03%
5. Non-Classified ซึ่งเป็นนวัตกรรมวิทยาศาสตร์ขั้นสูง การบำบัด อายุรเวท สัดส่วน 26.43%
อาทิ บริษัท Agios Pharmaceutical สัดส่วน 1.30%
Positive Contributor
หุ้น Top-3 ในพอร์ตลงทุนที่ Outperform (Largest Positive Contributor) ใน 1Q 2018 ได้แก่ Beigene Agios Phamaceutical และ Necktar Therapeutics
1. Beigene (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 1.06%) เป็นบริษัทยาไบโอเทคของจีน พันธกิจของบริษัทคือ “Discovering the next generation of cancer Treatment” มียารักษามะเร็ง จำหน่ายทั้งในจีนและทั่วโลก Beigene เป็นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านนวัตกรรมยาไบโอเทคของจีน
2. Agios Pharmaceuticals (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 1.30%) เป็นบริษัทที่พัฒนาโมเลกุลเล็กๆ ในการจัดการกับระบบเมตาบอลิซึมในการรักษาโรครักษายาก ส่วนโรคทั่วไป มียา IDH เพิ่งจะได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ในปีนี้ กองทุนหลักคาดว่าจะถือหุ้นตัวนี้ในระยะยาวเนื่องจากมีวิทยาการล้ำหน้าและทีมบริหารบริษัทแข็งแกร่ง
3. Nektar Therapeutics (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 0.77%) มียา Immuno-Oncology ระยะทดลอง Phase ½ มีความรุดหน้า บริษัทมีการทำงานร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Bristol-Myers Squibb
Negative Contributor
หุ้น Top-3 ในพอร์ตลงทุนที่ Underperform ใน 1Q 2018 ได้แก่ Portola Pharmaceuticals Invitae และ Tesaro
1. Portola Pharmaceuticals (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 1.63%) เชี่ยวชาญรักษาโรคหัวใจ องค์กรยุโรปให้ความเห็นในเชิงลบต่อยาที่ช่วยควบคุมการแข็งตัวของเลือดแดง (Anticoagulant) ขณะที่ FDA ยังไม่มีความชัดเจนต่อยาระยะทดลอง (Clinical trial)
2. Invitae บริษัทที่ใช้ซอฟต์แวร์รวบรวมข้อมูลทางด้านพันธุกรรมมนุษย์ในการวินิจฉัยโรค พันธกิจบริษัทคือ “Genetic is the future of Medecine” ช่วงที่ผ่านมาบริษัทคาดการณ์ผลประกอบการต่ำกว่าที่นักลงทุนคาดหวัง
3. Tesaro บริษัทที่รักษา “เนื้องอก” ผลประกอบการต่ำกว่าคาดเพราะคู่แข่งที่ชื่อว่า Zejula ผลิตยาที่รักษาใกล้เคียงกัน แต่กองทุนหลักยังถือลงทุนต่อเพราะตลาดให้ค่ากับยามะเร็ง Innuno-oncology น้อยเกินไป
ทิศทางหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ในปี 2018
นอกเหนือจากปัจจัยระยะยาวที่จะสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มนี้ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่อยู่ในห้วงเวลาแห่งการเร่งตัว ประชากรสูงอายุในหลายทวีป ความต้องการทั่วโลกต่อยาของบริษัทสัญชาติตะวันตกและการดูแลสุขภาพ ยังมีปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อหุ้นกลุ่มนี้ในปี 2018
ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ของประเทศเศรษฐกิจหลักคาดว่าเติบโตอยู่ในช่วง 2.4% – 7.5% ต่อปี ระหว่างปี 2015 – 2020 ปัจจัยดังกล่าวเกิดจากประชากรสูงวัย โดยเฉพาะทวีปอเมริกาเหนือ จะมีจำนวนคนที่อายุเกินกว่า 60 ปี เพิ่มขึ้นสูงมากจนคิดเป็นสัดส่วนถึง 30% ของคนทั้งทวีปในปี 2050 และหากพิจารณาค่าใช้จ่ายต่อหัวสำหรับคนที่อายุเกิน 60 ปี จะพบว่าเพิ่มขึ้นสูงมากแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แนวโน้มข้างต้นจะมีให้เห็นในประเทศกลุ่มองค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เช่นกัน ที่จะมีค่าใช้จ่ายด้านเฮลธ์แคร์เพิ่มขึ้นอีก 25%
ยาชีววัตถุคล้ายคลึง (Biosimilars) จะเติบโตได้ดีในกลุ่มตลาดเกิดใหม่และจะเป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในภูมิภาค การที่สิทธิบัตรและ/หรือ
สัญญาการคุ้มครองข้อมูลของบรรดาผู้ผลิตภัณฑ์ชีววัตถุต้นแบบกลุ่มแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนหมดอายุลง จึงเปิดทางให้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ชีววัตถุคล้ายคลึง (biosimilars) ขึ้น และเนื่องจากการผลิตผลิตภัณฑ์ชีววัตถุคล้ายคลึงไม่ต้องลงทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์มากนัก จึงส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตผลิตภัณฑ์ชีววัตถุคล้ายคลึงต่ำกว่าต้นทุนในการผลิตของผลิตภัณฑ์ต้นแบบปัจจุบัน จีน อินเดีย และประเทศยุโรปตะวันออก ผลิตยาประเภทนี้และจำหน่ายใช้กันในประเทศแล้ว ขณะที่เกาหลีใต้เป็นผู้ส่งออกยาประเภทนี้ไปยังประเทศพัฒนาแล้ว
ค่าใช้จ่ายทางด้านวิจัยและพัฒนาของบริษัทเภสัชกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพสูงแซงหน้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) งบลงทุนส่วนนี้ในปี 2018 คาดว่าจะอยู่ระดับ 161 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2017 ราว 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจะเติบโตที่ 3% ต่อปีต่อไปอีก 5 ปี อัตราการเติบโตที่ว่านี้มีที่มาจากการเจาะเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ของธุรกิจในกลุ่มเฮลธ์แคร์
ประเด็นด้านราคายาสหรัฐจะกลับมาอีกครั้งในช่วงการเลือกตั้งกึ่งวาระ (Midterm election) ของสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. 2018 หากพรรคเดโมแครตมีอิทธิพลมากขึ้นในสภาคองเกรซ ขณะที่พรรครีพลับบลีกันซึ่งไม่ได้เน้นการต่อรองให้ราคายาถูกลงอย่างหนักอย่างที่นักลงทุนกังวล อาจใช้วิธีการอื่นเช่นสนับสนุนให้ยาคู่แข่งผลิตสู่ตลาดเร็วขึ้นเพื่อที่จะทำให้ราคาถูกลง
ที่มา: Wellington Management Company LLP, Bloomberg
ประเด็นการออกมาให้ความเห็นด้านราคายาของทรัมป์
ทรัมป์ออกมาให้ความเห็น “ผมคิดว่า…เราจะเห็นบริษัทยาขนาดใหญ่ประกาศลดราคาลงภายใน 2 สัปดาห์” เป็นแค่ ‘การเมือง’ หรือ ‘ทำจริง’ นั้น นาย Alex Azar เลขาธิการ The Health and Human Service Department, United State แจ้งว่าไม่มีการกล่าวถึงสิ่งที่ทรัมป์พูด
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของดัชนี MSCI Health Care ช่วงวันที่ 11 พ.ค. ถึงสิ้นเดือน ซึ่งทรัมป์ออกมาให้ความคิดเห็นนั้นเพิ่มขึ้น 0.50% กองทุน Wellington Global HealthCare Equity เพิ่มขึ้น 3.0%
กองทุน Wellington คาดว่า การพูดหวังผลการเมือง อาจมีผลกระทบบ้าง ปัจจัยสำคัญที่แท้จริง คือ กองทุนจะได้ประโยชน์จากหุ้นบริษัทซึ่งเป็นผู้ผลิตยาประเภทยาชีววัตถุคล้ายคลึง (Biosimilar) ในพอร์ตโพลิโอ ซึ่งเป็นยาเทียบเคียงกับยาเฉพาะที่ตลาดเปิดโอกาสให้พัฒนาต่อได้ บริษัทข้างต้นที่กองทุนหลักลงทุนอยู่ ได้แก่ Mylan Novartis Teva Allergan Momenta และ Coherus
กลยุทธ์ของ Wellington Global Health Care Equity Portfolio
เน้นการเติบโตของเงินลงทุนผ่านการลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทที่ทำธุรกิจทางด้านเฮลธ์แคร์ ด้วยการลงทุนที่หลากหลายทั้งในธุรกิจย่อย (Sub-Sector) มูลค่าตลาดของหลักทรัพย์ลงทุน และภูมิภาคต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วโลก
กองทุนหลัก (Master Fund)
ชื่อ: Wellington Global Health Care Equity Portfolio ชนิดหน่วยลงทุน Class S (Accum-USD)
วัตถุประสงค์การลงทุน: แสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวในหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ทั่วโลก
Investment style:
- คัดสรรหุ้นรายตัวแบบ Bottom up ด้วยปัจจัยพื้นฐาน
- เน้นบริษัทที่มีมูลค่ากิจการแข็งแกร่ง
วันจดทะเบียน: October 2003
ประเทศที่จดทะเบียน: ไอร์แลนด์
สกุลเงิน: USD
เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): MSCI World Healthcare Net
Morningstar Category: Large cap growth
Bloomberg (A): WGHCEPA ID
Fund Size: USD 2.0 billion
NAV: USD 54.30
Number of holdings: 136