รัฐบาลฮ่องกง เตรียมจัดตั้ง “สถาบันวิจัยและพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งฮ่องกง” (Hong Kong AI Research and Development Institute) โดยจะจัดสรรงบประมาณในการจัดตั้งราว 1,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (128.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
การจัดตั้งหน่วยงานด้าน AI ของฮ่องกงประกาศออกมาในการแถลงงบประมาณของรัฐบาลในวันนี้ (26 ก.พ.) โดยนายพอล ชาน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังฮ่องกง ซึ่งหน่วยงานแห่งใหม่จะเป็นแกนหลักในการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรมของฮ่องกง รวมไปถึงการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรม
แกรี่ อึ้ง (Gary Ng) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Natixis มองว่า การลงทุนด้านนวัตกรรมและ AI ของฮ่องกง ย่อมส่งผลดี โดยให้สัมภาษณ์ในรายการ Street Signs Asia ของ CNBC ว่า “แม้ฮ่องกงจะไม่ได้สันทัดในด้านนวัตกรรม อย่างการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากนัก แต่อุตสาหกรรม AI ยังคงพัฒนาไปค่อนข้างเร็ว ในกรณีของฮ่องกง หากสามารถปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ใหม่นี้ และพยายามใช้ AI มากขึ้น รวมถึงความเคลื่อนไหวที่เราเห็นจากฝั่งรัฐบาล ผมว่า นั่นคือสัญญาณเชิงบวกอย่างแน่นอน”
ด้านหุ้นเทคโนโลยีพุ่งขึ้นทันที หลังรัฐบาลประกาศโครงการดังกล่าว โดยดัชนี Hang Seng Tech Index พุ่งขึ้นถึง 4.49% โดยมีหุ้นที่พุ่งนำตลาด อาทิ บริษัทจัดส่งอาหาร Meituan พุ่งขึ้น 9.21% และ JD.com พุ่งขึ้น 8.26% ขณะที่ดัชนี Hang Seng พุ่งขึ้น 3.19%
นอกจากนี้ นายชาน ยังระบุว่า ความเชื่อมั่นในตลาดที่ฟื้นตัวในปีนี้ ส่วนหนึ่งยังมาจากมาตรการของรัฐบาลที่สนับสนุนตลาดทุนของฮ่องกง รวมไปถึงดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ โดยระบุว่า ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งในด้านราคาและปริมาณการซื้อขาย ในปีนี้ดัชนี Hang Seng ยังพุ่งขึ้นไป 18% ขณะที่ ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 26%
นอกจากนี้ มูลค่าการระดมทุนจากการทำ IPO ยังเพิ่มขึ้นเป็น 88,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 11,320 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยรัฐมนตรีคลังฮ่องกง ยังคาดว่า ตัวเลข Real GDP ของฮ่องกงจะเติบโตอยู่ที่ 2.9% ต่อปี ในช่วงปี 2026-2029 ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5% ต่อปี
อย่างไรก็ดี แกรี่ อึ้ง มองต่างออกไป โดยคาดว่า เศรษฐกิจของฮ่องกงจะขยายตัวในอัตรา 2% ในปีนี้ และในระยะยาว โดยในระยะสั้นนั้น เราจะยังคงเห็นความไม่แน่นอนในแง่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลก รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่มากมาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าของฮ่องกงได้ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่น่ากังวล อาทิ มาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ รวมไปถึงประเทศอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วย
ที่มา: ซีเอ็นบีซี