นักวิเคราะห์มองแนวโน้ม S&P500 ปีนี้ คาดนลท.หันซบหุ้นกลุ่ม Defensive รับมือตลาดผันผวน

นักวิเคราะห์มองแนวโน้ม S&P500 ปีนี้ คาดนลท.หันซบหุ้นกลุ่ม Defensive รับมือตลาดผันผวน

นักวิเคราะห์มองแนวโน้มหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี สื่อสาร และสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งเคยขึ้นนำในดัชนี S&P500 ในปี 2023 – 2024 มีแนวโน้มลดลงในปีนี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มปลอดภัย อาทิ กลุ่มเฮลท์แคร์และสินค้าอุปโภคบริโภค มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น

ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบอย่างฉับพลัน จากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลง และความไม่แน่นอนทางการค้าที่เพิ่มขึ้น จากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกำลังทำลายแนวโน้มการซื้อขาย ตามโมเมนตัมของตลาด ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

JC O’Hara จาก Roth Capital Partners กล่าวว่า “นักลงทุนเห็นการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มการป้องกันประเทศ จึงปรับกลยุทธ์การลงทุนเป็นเชิงตั้งรับมากขึ้น”

ดัชนี S&P500 ยังร่วงลงเมื่อคืนที่ผ่านมา (27 ก.พ.) หลังจากเริ่มต้นปีอย่างร้อนแรง โดยในปีนี้ ดัชนี S&P500 ร่วงลง 0.3% และยัง Underperform ดัชนีหุ้นยุโรป และแม้แต่แคนาดา โดยในสัปดาห์นี้ ดัชนีร่วงลงไป 2.5% และ 3% ในเดือนก.พ. และยังส่งผลให้กำไรที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะ หายไป 1.4%

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังเผชิญกับแรงเทขายจากหุ้น Nvidia เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากรายงานผลประกอบการที่ชะลอตัวลง ซึ่งทำให้นักลงทุนผิดหวัง ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่การเปิดตัวโมเดล AI ของ DeepSeek

นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจเมื่อคืนที่ผ่านมา ยังแสดงถึงแนวโน้มที่อ่อนแอในกิจกรรมภาคธุรกิจ ความคาดหวังต่อเงินเฟ้อ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

ขณะที่เทรดเดอร์ในตลาดพันธบัตรกำลังเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น ท่ามกลางคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับกลยุทธ์จากการต่อสู้กับเงินเฟ้อเป็นการรับมือกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

“แม้ดัชนี S&P 500 จะได้ประโยชน์จากบอนด์ยีลด์ที่ลดลง แต่หากลดลงเร็วและรุนแรง ปฏิกิริยาแรกของนักลงทุน คือ การตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้น” O’Hara กล่าว การที่ตลาดตีความการพุ่งขึ้นของพันธบัตรว่า เป็นการเคลื่อนไหวเชิงรับ จึงเร่งให้เกิดการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงที่ไล่ตามเทรนด์

ขณะที่ ดัชนีวัดการชอร์ตเซลหุ้นยังลดลงสู่ระดับใกล้เคียงกับเมื่อเดือนต.ค. โดยดัชนีบลูมเบิร์กซึ่งติดตามหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี 7 ตัวที่ใหญ่ที่สุด บ่งชี้การเข้าสู่ช่วงปรับฐาน เช่นเดียวกับดัชนีที่ติดตามหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินคริปโทฯ  ที่ร่วงลงและลบล้างกำไรที่ได้มาหลังจากปรากฏการณ์ “Trump bump” ไปเรียบร้อยแล้ว

ที่มา: บลูมเบิร์ก