ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นธุรกิจที่เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอมาโดยตลอด โดยในอดีตมีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยปีละเกือบ 20% อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน เราเริ่มเห็นการเติบโตของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนปรับตัวลดลง แล้วแนวโน้มของธุรกิจโรงพยาบาลในอนาคตจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ เราสามารถแบ่งปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของธุรกิจโรงพยาบาลได้ เป็นปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ
ปัจจัยภายในประเทศ ประกอบด้วย 1) โครงสร้างประชากร แม้ว่าจำนวนประชากรในประเทศไทยเริ่มปรับลดลง จากจุดสูงสุด 66.6 ล้านคนในปี 2562 เหลือเพียง 66.1 ล้านคนในปี 2566 เนื่องจากอัตราการเกิดของเด็กในแต่ละปีปรับตัวลดลง ซึ่งสวนทางกับอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) อย่างเต็มรูปแบบ จากจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีจำนวน 13 ล้านคน คิดเป็นมากกว่า 20% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ส่งผลให้ค่าใช้จ่าย และความต้องการบริการทางการแพทย์เพิ่มขึ้นในระยะยาว
2) วิถีชีวิต และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงมลภาวะที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (non-communicable diseases หรือ NCDs) เช่น โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ และโรคเบาหวานในคนอายุต่ำกว่า 50 ปี เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งอัตราผู้ป่วยโรคมะเร็ง เติบโตถึง 30% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยโรคในกลุ่มนี้ เมื่อเป็นแล้ว มักจะเกิดการเรื้อรัง ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่มากขึ้น 3) ความต้องการของประกันสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) อัตราการเข้าถึงประกันสุขภาพส่วนบุคคลในประเทศไทยอยู่ที่ 5% ซึ่งยังถือว่าค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ที่มีอัตราอยู่ที่ 8-11% เมื่อรวมกับนโยบายสนับสนุนของรัฐบาลเรื่องเบี้ยประกันสุขภาพสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ และการตระหนักถึงสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ภายหลังเหตุการณ์โควิด-19 ส่งผลให้เบี้ยประกันสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นตัวสะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตที่ดีของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในอนาคต
สำหรับปัจจัยต่างประเทศ ประเทศไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) เนื่องจากบริการที่มีคุณภาพสูง มีบริการที่หลากหลาย และค่าใช้จ่ายคุ้มค่ากับค่าบริการ ทั้งนี้ เมื่อเทียบค่าบริการทางการแพทย์กับประเทศที่พัฒนาแล้ว ค่าบริการทางการแพทย์ในประเทศไทยมีต้นทุนถูกกว่าประเทศสหรัฐฯ 30-90% และถูกกว่าสิงคโปร์ 20-40% ตัวอย่างเช่น การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจอาจมีค่าใช้จ่ายประมาณ 21,188 ดอลลาร์สหรัฐในไทย เทียบกับ 170,000 ดอลลาร์สหรัฐในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ เมืองไทยยังมีจำนวนโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน JCI (Joint Commission International) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล สูงที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง 62 แห่ง มากกว่าประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย 55 แห่ง อินโดนีเซีย 24 แห่ง มาเลเซีย 17 แห่ง และสิงคโปร์ 5 แห่ง ทั้งนี้ ตลาดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยได้รับคาดการณ์ว่า จะมีมูลค่าสูงถึง 24,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2570 เพิ่มขึ้นจากในปี 2562 ที่ 9,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 13%
กล่าวโดยรวม แม้ว่าปัจจุบัน ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนไทยจะมีอัตราการเติบโตน้อยลงกว่าในอดีต อย่างไรก็ตาม หากมองไปในอนาคต โรงพยาบาลเอกชนของไทยยังมีจุดเด่นจากคุณภาพการบริการที่ดี ต้นทุนที่สามารถแข่งขันในระดับโลก มีโอกาสจากทั้งปัจจัยภายใน และต่างประเทศ ส่งผลให้โรงพยาบาลเอกชนไทยจะยังสามารถเติบโตต่อเนื่องได้อีกมากในอนาคต
ชัชวาล สิมะธัมนันท์
BBLAM