สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า แรงกดดันเงินเฟ้อจากการปรับขึ้นค่าจ้างและต้นทุนอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) พิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป เร็วสุดในเดือนพ.ค.นี้

อย่างไรก็ตาม การที่ BOJ จะปรับขึ้นหรือคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 30 เม.ย. – 1 พ.ค. นี้ จะขึ้นอยู่กับแนวโน้มเงินเฟ้อและผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีต่อตลาดการเงิน โดยคาดว่า BOJ จะคงนโยบายการเงินเอาไว้ในการประชุมวันที่ 18-19 มี.ค.นี้ หลังเพิ่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 0.25% เป็น 0.50% ในการประชุมเดือนม.ค. ที่ผ่านมา โดยตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3 ของปีนี้

ชินอิจิ อุชิดะ รองผู้ว่าการ BOJ กล่าวว่า “เราไม่ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในทุกการประชุม” ซึ่งนับเป็นการส่งสัญญาณว่าไม่น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค. อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ BOJ จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนพ.ค. เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจาก BOJ จะเปิดเผยคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อรายไตรมาส โดยขยายช่วงการคาดการณ์ไปถึงปีงบประมาณ 2027 เป็นครั้งแรก

ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 16 ปีในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งเกิดจากการคาดการณ์ว่า BOJ อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้

การตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปของธนาคารกลางญี่ปุ่น จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งมีกำหนดเผยแพร่ก่อนการประชุมเดือนพ.ค.นี้ โดยผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจรายไตรมาสของ BOJ หรือ “ทังกัน” ซึ่งรวมถึงคาดการณ์เงินเฟ้อของภาคธุรกิจ จะมีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 1 เม.ย. ตามด้วยผลสำรวจความคิดเห็นของภาคครัวเรือนเกี่ยวกับเงินเฟ้อในวันที่ 11 เม.ย. โดยข้อมูลเงินเฟ้อของกรุงโตเกียวประจำเดือนเม.ย. มักถูกใช้เป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มเงินเฟ้อทั่วประเทศ ซึ่งจะมีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 25 เม.ย. และจะช่วยบ่งชี้แนวโน้มว่า บริษัทต่าง ๆ กำลังปรับขึ้นราคาบริการในช่วงต้นปีงบประมาณของญี่ปุ่นหรือไม่

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของญี่ปุ่น โตแตะ 3.2% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 19 เดือน และสูงกว่าเป้าหมายของ BOJ มาเกือบ 3 ปีแล้ว

ที่มา: รอยเตอร์