นักลงทุนที่มองหาที่หลบภัยจากความผันผวนทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เกิดจากนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังหันไปลงทุนในกองทุน ETF ทองคำมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง
นับตั้งแต่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือนม.ค. การดำเนินนโยบายที่สุดขั้ว ตั้งแต่การตั้งกำแพงภาษีการค้า ความต้องการที่จะผนวกเกาะกรีนแลนด์เป็นของสหรัฐฯ และแนวทางการทูตที่ไม่เหมือนใคร เพื่อพยายามยุติสงครามในยูเครน ล้วนผลักดันให้ราคาทองคำทำสถิติใหม่หลายครั้งติดต่อกัน
โดยในช่วงแรก การไหลเข้าลงทุนในกองทุน ETF ทองคำ จะถูกขับเคลื่อนโดยนักลงทุนฝั่งยุโรปเป็นหลัก แต่บรรดานักวิเคราะห์ชี้ว่า ความปั่นป่วนด้านนโยบายในสหรัฐฯ เริ่มดึงดูดนักลงทุนชาวอเมริกัน ซึ่งปกติแล้วมักจะนิยมลงทุนในหุ้นมากกว่า โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (15 มี.ค.) ราคาทองคำทำสถิติใหม่ แตะที่ 3,004.86 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 14% ตั้งแต่ต้นปี 2025 หลังจากพุ่งไปแล้ว 27% ในปีที่ผ่านมา
ข้อมูลจากสภาทองคำโลก (WGC) ยังระบุว่า การถือครองทองคำในกองทุน ETF ที่จดทะเบียนในยุโรป ยังเพิ่มขึ้น 46.7 ตัน หรือ 3.6% รวมเป็น 1,334.3 ตัน ตั้งแต่ต้นปี 2025 ซึ่งตรงกันข้ามกับช่วงปี 2021-2024 ที่มีการไหลออกจำนวนมาก โดยการไหลเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจช่วยพยุงตลาด ขณะที่เริ่มเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป (overbought)
ขณะที่ นักลงทุนรายย่อยในสหรัฐฯ เริ่มไม่มั่นใจในตลาดหุ้น หลังเกิดการเทขายครั้งใหญ่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวร่วงหนักที่สุดในปีนี้ โดยนักวิเคราะห์มองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ความต้องการทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
Alexander Zumpfe นักค้าทองคำจาก Heraeus Metals กล่าวว่า “นักลงทุนบางส่วนในสหรัฐฯ อาจกังวลน้อยกว่าที่อื่นๆ แม้จะมีความเสี่ยงระดับโลกที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจภายในประเทศที่แข็งแกร่งกว่า อย่างไรก็ตาม การไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุน ETF ทองคำในอเมริกาเหนือที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นว่าความสนใจในทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ เช่นกัน”
ทั้งนี้ การถือครองทองคำในกองทุน ETF ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 68.1 ตัน หรือ 4.3% รวมเป็น 1,649.8 ตันแล้วในปีนี้
ที่มา: รอยเตอร์