
ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% มาอยู่ที่ 5.50% จากระดับ 6.00% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุด นับตั้งแต่เดือนส.ค. ปี 2565
การปรับลดครั้งนี้ นับเป็นการลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมา และต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.25% โดยนายซันเจย์ มาลโฮตรา (Sanjay Malhotra) ผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดีย กล่าวว่า การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ การเติบโตทางเศรษฐกิจ “ยังต่ำกว่าที่คาดหวัง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมโลกที่ท้าทายและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น”
การตัดสินใจครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากตัวเลข GDP ไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณออกมาดีกว่าที่คาด โดยเศรษฐกิจขยายตัว 7.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เทียบกับที่นักเศรษฐศาสตร์ในแบบสำรวจของ Reuters คาดไว้ที่ 6.7% อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางอินเดีย ยังคงประมาณการการเติบโตของ GDP ตลอดทั้งปีนี้ ไว้ที่ 6.5% ซึ่งลดลงอย่างชัดเจน จากระดับ 9.2% ในปีงบประมาณก่อนหน้า (สิ้นสุดเดือนมี.ค.)
ผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดีย ระบุว่า “เศรษฐกิจอินเดียแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง เสถียรภาพ และโอกาส” แม้ก่อนหน้านี้ จะเคยแสดงความกังวลเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจในการประชุมครั้งก่อนๆ ท่ามกลางความเสี่ยงจากมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ การตัดสินใจลดดอกเบี้ยยังเป็นผลจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางมีพื้นที่ในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน
ดัชนีเงินเฟ้อทั่วไปล่าสุดในเดือนเม.ย. อยู่ที่ 3.16% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2019 ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางอินเดีย ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อลงเหลือ 3.7% สำหรับปีการเงินปัจจุบัน จากเดิมที่คาดไว้ 4% โดยผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดีย กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้ออาจต่ำกว่าระดับเป้าหมายได้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้มีขนาดใหญ่ ธนาคารกลางอินเดียยังระบุว่า มีพื้นที่จำกัดในการใช้นโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนการเติบโต และจะเปลี่ยนจุดยืนการดำเนินนโยบายจาก “ผ่อนคลาย” เป็น “เป็นกลาง” โดยเสริมว่า “จากนี้ไป คณะกรรมการนโยบายการเงินจะประเมินข้อมูลใหม่และแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงอย่างระมัดระวัง เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ”
ที่มา CNBC , สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย