กนง.มีมติคงดอกเบี้ย 1.75% พร้อมเพิ่มเป้าจีดีพีปีนี้เป็นโต 2.3% บนสมมติฐานไทยโดนภาษีทรัมป์แค่ 18%

กนง.มีมติคงอัตราดอกเบี้ย 1.75% พร้อมปรับเพิ่มเป้า GDP ปีนี้โต 2.3% ภายใต้สมมติฐานไทยโดนภาษีสหรัฐ 18% จับตาความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์-ปัจจัยในประเทศ และเงินเฟ้อที่อยู่ระดับต่ำ
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี ขณะที่ เศรษฐกิจไทยในปีนี้ปรับประมาณการเพิ่มขึ้นเป็นขยายตัวได้ 2.3% จากเดิมที่ 1.3-2% และปรับลดประมาณการปีหน้าที่ 1.7% จากเดิม 1.8%
ทั้งนี้ คณะกรรมการประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้ จากภาคการผลิตและการเร่งส่งออกสินค้า อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในระยะถัดไป โดยมีความเสี่ยงจากการส่งออกสินค้าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
รวมทั้งยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยภายในประเทศ ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน ในขณะที่สินเชื่อชะลอลง ส่วนหนึ่งจากความต้องการสินเชื่อที่ลดลงในบางกลุ่มและความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คณะกรรมการเห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับต่ำที่ผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะถัดไป ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาสามารถรองรับความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง โดยคณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก่อน ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิภาพผลของนโยบายการเงินภายใต้บริบาทที่มีความไม่แน่นอนสูง และขีดความสามารถของนโยบายการเงินมีจำกัด
“เศรษฐกิจไทยปีนี้ มองว่าจะขยายตัวได้ 2.3% และปีหน้าที่ 1.7% ภายใต้สมมติฐานที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 18% ขณะที่ ประเทศอื่นๆ ถูกเรียกเก็บ 10% ขณะเดียวกัน ไตรมาส 2/68 พบว่ามีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้ โดยการส่งออกที่ขายยตัวได้สูงจากกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าที่มีการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ส่งผลบวกต่อภาคการผลิตและภาคบริการที่เกี่ยวข้อง” นายสักกะภพ กล่าว
ส่วนเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยคาดว่าการส่งออกสินค้าจะได้รับผลกระทบมากขึ้นจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงตามแนวโน้มรายได้และความเชื่อมั่นที่ลดลง ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวปรับลดลง แม้รายรับนักท่องเที่ยวยังขยายตัวได้จากค่าใช้จ่ายต่อหัว โดยธุรกิจส่วนหนึ่งยังถูกกันจากสินค้านำเข้าและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำที่ 0.5% ส่วนหน้าที่ 0.8% จากหมวดพลังงานและอาหารสด ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปีนี้ คาดอยู่ที่ 1% และปีหน้าที่ 0.9% ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ทรงตัวในระดับต่ำเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก และไม่ได้นำไปสู่ภาวะที่ราคาสินค้าลดลงเป็นวงกว้าง รวมถึงเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้า ต้องติดตามความเสี่ยงด้านสูงจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลต่อราคาพลังงานโลก ด้านสินเชื่อโดยรวมหดตัว จากสถาบันการเงินยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะเอสเอ็มอีและครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ ประกอบกับความต้องการของธุรกิจที่ลดลงและการชำระคืนหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น
“ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง และพร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มและความเสี่ยงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า” นายสักกะภพ กล่าว
ที่มา: สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย