Economic Update: กนง.มีมติเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps สู่ 1.5%

Economic Update: กนง.มีมติเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps สู่ 1.5%

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ (7:0) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75% สู่ 1.50% ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายที่ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นการผ่อนคลายเชิงนโยบายเพิ่มเติม หลังจากคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งก่อน โดยนายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ กนง. เน้นย้ำในแถลงการณ์ว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มเปราะบาง

มุมมองเศรษฐกิจจาก ธปท.

ธปท.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2025–2026 จะขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ (GDP 2025: 2.3%,
GDP 2026: 1.7%) แม้ในครึ่งแรกปี 2025 การเติบโตได้รับแรงหนุนจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ และภาคการผลิต แต่ครึ่งหลังของปี มีแนวโน้มชะลอตัว จากปัจจัยลบหลายด้าน ได้แก่:

  • ผลกระทบมาตรการภาษีสหรัฐฯ ทั้งทางตรงและอ้อม โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษี Transshipment
  • การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาค ที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวระยะใกล้ลดลง
  • ผลกระทบต่อ SMEs และแรงงานอิสระ จากรายได้ที่หดตัวและการแข่งขันด้านราคาสูง
  • การบริโภคภาคเอกชน มีแนวโน้มขยายตัวต่ำจากความเชื่อมั่นและรายได้ที่ชะลอลง

ด้านเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายจากปัจจัยด้านอุปทาน โดยเฉพาะ ผลผลิตอาหารสดที่เพิ่มขึ้นและราคาพลังงานที่ลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบโลก ด้านเงินเฟ้อพื้นฐาน
(Core Inflation) ทรงตัวใกล้ระดับที่ประเมิน (Core CPI 2025: 1.0%, Core CPI 2026: 1.3%) สะท้อนว่า การปรับลดของระดับราคากระจุกเฉพาะบางหมวดสินค้าและไม่มี Spill-over Effect ไปที่สินค้าหมวดอื่น ขณะที่ ภาคสินเชื่อหดตัวจากความเสี่ยงด้านเครดิตสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ควบคู่กับคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง และค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (Policy Space) ยังคงมีจำกัด จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะปานกลาง และโครงสร้างหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจลดทอนประสิทธิภาพของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านช่องทางการบริโภคและการลงทุน

การเปลี่ยนผ่านสู่ยุค “วิทัย รัตนากร”

การประชุมนี้เป็นครั้งสุดท้าย ที่ดร.เศรษฐพุฒิดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ก่อนที่ นายวิทัย รัตนากร อดีตผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนแนวทางการผ่อนคลายนโยบายการเงิน จะเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ในวันที่ 1 ต.ค. 2025 ตลาดคาดว่า นโยบายการเงินภายใต้นายวิทัยจะมีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น เน้นสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ธปท.ได้แต่งตั้งนายเชาว์ เก่งชน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการเงิน มีผลตั้งแต่ 2 ก.ย. 2025 เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างลงจากการลาออกของนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส

แนวโน้มข้างหน้า

ภายใต้การนำของนายวิทัย รัตนากร ธปท.อาจปรับการดำเนินนโยบาย จากการมุ่งเน้นการลดหนี้ในระบบ (Deleveraging) ไปสู่การสนับสนุนการเติบโต โดยอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่ำกว่าระดับ 1.5% หากเศรษฐกิจชะลอตัวกว่าคาด การตัดสินใจในอนาคตจะขึ้นกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ และการประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังเฝ้าระวังความเสี่ยงจากภายนอก เช่น ความผันผวนค่าเงินและการชะลอตัวของการค้าโลก ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายในประเทศอย่างความเชื่อมั่นผู้บริโภค การท่องเที่ยว และการฟื้นตัวของสินเชื่อ จะเป็นตัวกำหนดว่าการผ่อนคลายทางการเงินจะเพียงพอหรือไม่ต่อการประคองเศรษฐกิจ

A screenshot of a graph

AI-generated content may be incorrect.