ในเดือนกรกฎาคม 2568 ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยรวม ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% ในฝั่งของสหรัฐฯ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25-4.5% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากประธานาธิบดี ทรัมป์ที่ต้องการให้ปรับลดดอกเบี้ยก็ตาม ทั้งนี้ Fed ยังคงใช้แนวทางรอดูข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อ ก่อนที่จะตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนกันยายน โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 50 bps ภายในช่วงที่เหลือของปี
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ตลาดแรงงานกลับแสดงสัญญาณอ่อนตัว โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นเพียง 7.3 หมื่นตำแหน่ง ต่ำกว่าที่ตลาดคาด และตัวเลข 2 เดือนก่อนหน้าก็ถูกปรับลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า Fed อาจต้องปรับลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น ขณะที่ ดัชนี ISM Manufacturing PMI เดือนกรกฎาคมของสหรัฐฯ หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 จากปัจจัยด้านภาษีที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบและการจ้างงาน ส่วน ISM Services PMI ชะลอตัว สะท้อนแรงกดดันจากต้นทุนที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าอย่างชัดเจนขึ้น
ด้านตลาดหุ้นไทย กลับให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นมากขึ้น โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 14% จากเดือนก่อนหน้า แม้ว่าจะยังถูกกดดันโดยปัจจัยทางเศรษฐกิจในประเทศและเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งในเดือนนี้ ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงหนุนอย่างมีนัยสำคัญ จากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ได้ข้อสรุปอัตราภาษีนำเข้าที่ 19% ซึ่งถือว่าดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เล็กน้อย และปรับลดลงจากรอบแรกที่ระดับ 36% อีกทั้งตลาดยังได้แรงหนุนจากการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมืองภายในประเทศ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งนายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่จากกรณีคลิปเสียงสนทนา แต่ว่า รัฐบาลยังสามารถปฎิบัติหน้าที่ต่อได้ ขณะที่ ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงปลายเดือนนั้น กลับมาในกระบวนการเจรจากัน ซึ่งลดความกังวลต่อสถานการณ์ได้ในระยะสั้น แต่ยังคงเป็นความเสี่ยงที่ตลาดต้องจับตาต่อไป
ดังนั้น เมื่อประเมินจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศ เรายังคงมุมมองว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะเผชิญความผันผวนจากปัจจัยทางการเมืองและแรงกดดันจากต่างประเทศต่อไปในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ การได้ข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่ชัดเจนมากขึ้น และความคลี่คลายทางการเมืองภายในประเทศ อาจช่วยประคองตลาดหุ้นไทยให้สามารถยืนระดับได้อย่างน้อยในระยะสั้น แต่ความเสี่ยงดานการเมืองและเศรษฐกิจยังคงต้องติดตามต่อไป โดยรวม จึงยังคงคำแนะนำให้นักลงทุนดำเนินกลยุทธ์การลงทุนด้วยความระมัดระวัง และเน้นการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพและมีความยืดหยุ่นสูง เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต
Fund Comment
Fund Comment กรกฎาคม 2025: ภาพรวมตลาดหุ้น
ในเดือนกรกฎาคม 2568 ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยรวม ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% ในฝั่งของสหรัฐฯ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25-4.5% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากประธานาธิบดี ทรัมป์ที่ต้องการให้ปรับลดดอกเบี้ยก็ตาม ทั้งนี้ Fed ยังคงใช้แนวทางรอดูข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อ ก่อนที่จะตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนกันยายน โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 50 bps ภายในช่วงที่เหลือของปี
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ตลาดแรงงานกลับแสดงสัญญาณอ่อนตัว โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นเพียง 7.3 หมื่นตำแหน่ง ต่ำกว่าที่ตลาดคาด และตัวเลข 2 เดือนก่อนหน้าก็ถูกปรับลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า Fed อาจต้องปรับลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น ขณะที่ ดัชนี ISM Manufacturing PMI เดือนกรกฎาคมของสหรัฐฯ หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 จากปัจจัยด้านภาษีที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบและการจ้างงาน ส่วน ISM Services PMI ชะลอตัว สะท้อนแรงกดดันจากต้นทุนที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าอย่างชัดเจนขึ้น
ด้านตลาดหุ้นไทย กลับให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นมากขึ้น โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 14% จากเดือนก่อนหน้า แม้ว่าจะยังถูกกดดันโดยปัจจัยทางเศรษฐกิจในประเทศและเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งในเดือนนี้ ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงหนุนอย่างมีนัยสำคัญ จากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ได้ข้อสรุปอัตราภาษีนำเข้าที่ 19% ซึ่งถือว่าดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เล็กน้อย และปรับลดลงจากรอบแรกที่ระดับ 36% อีกทั้งตลาดยังได้แรงหนุนจากการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมืองภายในประเทศ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งนายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่จากกรณีคลิปเสียงสนทนา แต่ว่า รัฐบาลยังสามารถปฎิบัติหน้าที่ต่อได้ ขณะที่ ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงปลายเดือนนั้น กลับมาในกระบวนการเจรจากัน ซึ่งลดความกังวลต่อสถานการณ์ได้ในระยะสั้น แต่ยังคงเป็นความเสี่ยงที่ตลาดต้องจับตาต่อไป
ดังนั้น เมื่อประเมินจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศ เรายังคงมุมมองว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะเผชิญความผันผวนจากปัจจัยทางการเมืองและแรงกดดันจากต่างประเทศต่อไปในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ การได้ข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่ชัดเจนมากขึ้น และความคลี่คลายทางการเมืองภายในประเทศ อาจช่วยประคองตลาดหุ้นไทยให้สามารถยืนระดับได้อย่างน้อยในระยะสั้น แต่ความเสี่ยงดานการเมืองและเศรษฐกิจยังคงต้องติดตามต่อไป โดยรวม จึงยังคงคำแนะนำให้นักลงทุนดำเนินกลยุทธ์การลงทุนด้วยความระมัดระวัง และเน้นการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพและมีความยืดหยุ่นสูง เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต