Economic Update: ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี: ภาพสะท้อนดอลลาร์ฯ อ่อน เสถียรภาพไทย และบททดสอบของธนาคารกลาง

Economic Update: ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี: ภาพสะท้อนดอลลาร์ฯ อ่อน เสถียรภาพไทย และบททดสอบของธนาคารกลาง

โดย ดร.มิ่งขวัญ ทองพฤกษา Chief Economist, BBLAM

ตลาดการเงินต่างจับตามองค่าเงินบาทอย่างไม่กะพริบ เมื่อเงินบาทแข็งค่าทะลุระดับ 31.6 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปีเต็ม ภาพนี้ไม่เพียงสร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุน แต่ยังกลายเป็นประเด็นถกเถียงว่า พลังใดกันแน่ที่ผลักดันเงินบาทให้แข็งค่าได้ถึงเพียงนี้

คำถามนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากจะคลี่คลายปริศนา จำเป็นต้องย้อนกลับไปตั้งต้นด้วยกรอบคิดพื้นฐาน เมื่อเราต้องการรู้ว่าค่าเงิน “แพงหรือถูก” เราต้องถามตัวเองว่า หนึ่ง เราแพงหรือถูกเมื่อเทียบกับใคร และสอง เราแพง หรือถูก เมื่อเทียบกับตัวเราเองในอดีต การตั้งโจทย์แบบนี้จะช่วยให้เราไม่หลงอยู่กับตัวเลขเพียงด้านเดียว และทำให้การวิเคราะห์เข้าถึงแก่นที่แท้จริงมากขึ้น

1. เทียบกับใคร: ดอลลาร์ฯ อ่อนลงอย่างต่อเนื่อง

หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ดอลลาร์สหรัฐฯ คือ มาตรฐานอ้างอิงหลักในตลาดเงินโลก และหากย้อนดูช่วงเวลาที่ Donald Trump ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบขาวในปี 2017 เป็นต้นมา เรามักเห็นปรากฏการณ์ซ้ำๆ ว่า ดอลลาร์ฯ มีแนวโน้มอ่อนค่า ปัจจุบันดัชนีค่าเงินดอลลาร์ฯ (DXY) ยืนเพียง 96–97 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหลายปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน

การอ่อนค่าของดอลลาร์ฯ ในรอบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่มาจากปัจจัยหลายประการผสมผสานกัน

  • นโยบายการเงินสหรัฐฯ: ตลาดกำลังคาดหวังว่า Fed จะเริ่ม ลดดอกเบี้ย หลังการประชุม Jackson Hole ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณว่า ความกังวลเงินเฟ้อเริ่มถูกบดบัง ด้วยความกังวลด้านการเติบโตของการจ้างงาน
  • ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ผันผวน: ตัวเลขตลาดแรงงานที่ออกมาอ่อนกว่าคาด และถูก ปรับแก้ย้อนหลัง อย่างต่อเนื่อง ทำให้ความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลดลง
  • การเมืองการคลัง: การถกเถียงเรื่อง การยกเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่กำลังกลับมาอยู่ในวาระการเมือง หลังสภา คองเกรสกลับจาก August Recess ได้สร้างแรงกดดันเพิ่มต่อค่าเงินดอลลาร์ฯ

เมื่อรวมกัน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ดอลลาร์ฯ เสียความแข็งแรง และเป็นธรรมดาที่สกุลเงินคู่เทียบอย่างเงินบาทจะดู “แพงขึ้น” โดยปริยาย

2. เทียบกับตัวเอง: เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทย

หากหันกลับมามองเศรษฐกิจไทยผ่านเลนส์ของ ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด และเงินทุนสำรอง คำตอบที่ได้อาจไม่สอดคล้องกับภาพของเงินบาทที่แข็งค่ามากนัก

ปีนี้ไทยส่งออกโดดเด่น มูลค่า 1.95 แสนล้านดอลลาร์ฯ YTD แต่ในอีกด้าน การนำเข้าก็เพิ่มขึ้นไม่แพ้กัน ทำให้ไทยเกินดุลการค้าเพียง 260 ล้านดอลลาร์ฯ YTD ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา

ด้านการท่องเที่ยว แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ 21.8 ล้านคน ยังติดลบ เกือบ -8% YTD จึงไม่อาจบอกได้ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลับมาแข็งแรงเต็มที่

ผลลัพธ์รวม คือ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพียง 1.4 พันล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งหากเทียบกับอดีต ไทยเคยมีตัวเลขเกินดุลในระดับ “หมื่นล้าน” แต่เงินบาทกลับไม่เคยแข็งค่าถึงเพียงนี้ ดังนั้น จึงชัดเจนว่า เงินบาทรอบนี้ไม่น่าจะแข็ง เพราะพื้นฐานประเทศ

3. โจทย์ใหม่ของธนาคารกลาง: จะปล่อย หรือจะจัดการ

เมื่อเสถียรภาพทางการเงิน รวมถึงเสถียรภาพของค่าเงิน คำถามใหญ่ที่ตามมา คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปล่อยให้เงินบาทแข็งต่อไปโดยไม่ทำอะไร หรือควรเริ่มพิจารณามาตรการรองรับ

ตัวอย่างจากหลายประเทศบอกเราว่า การไม่ทำอะไรอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป

  • อินเดีย ใช้มาตรการ Off-shore Intervention เพื่อชะลอแรงเก็งกำไรและรักษาเสถียรภาพของรูปี
  • จีน ใช้กลไก Daily Fixing เพื่อกำหนดกรอบค่าเงินหยวนและป้องกันไม่ให้ตลาดลากค่าเงินไปในทิศทางเดียวแรงเกินไป

สำหรับไทย ธปท. เคยมีบทเรียนสำคัญในปี 2019 ที่ออกมาตรการให้นักลงทุน นำเงินออกนอกประเทศได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องยื่น Filing เพื่อลดแรงกดดันต่อเงินบาท (อ้างอิง: BOT, ก.พ. 2020) มาตรการเช่นนี้สะท้อนว่า การจัดการค่าเงินไม่จำเป็นต้องทำผ่านการเข้าแทรกแซงตรงๆ เสมอไป แต่สามารถออกแบบ “ช่องทาง” ที่ช่วยลดแรงดันในระบบได้

ในบริบทปัจจุบัน ที่สหรัฐฯ เองกำลัง “ออกแบบ” (Engineer) ค่าเงินดอลลาร์ฯ ให้อ่อน เพื่อผลักดันการส่งออกและเศรษฐกิจ ธปท. อาจไม่สามารถมองข้ามโจทย์ค่าเงินได้อีกต่อไป

4. เงินบาทแข็ง: สัญญาณของโลกที่เปลี่ยน

เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปีครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นตัวเลขที่นักลงทุนบันทึกลงกราฟ หากยังสะท้อนถึง ภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไป เรากำลังอยู่ในยุคที่ค่าเงินกลับมามีบทบาทเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเมืองอีกครั้ง

  • สำหรับสหรัฐฯ ดอลลาร์ฯ อ่อน คือ กลยุทธ์ทางการค้า
  • สำหรับประเทศเกิดใหม่ ค่าเงินแข็งกลายเป็นดาบสองคม: จะช่วยลดต้นทุนนำเข้า แต่บั่นทอนรายได้ส่งออกและการท่องเที่ยว
  • สำหรับไทย นี่คือ โจทย์ที่ ธปท. ต้องตัดสินใจว่าจะ “เฝ้ามอง” หรือ “ปรับบทบาท” เชิงรุกให้มากกว่าเดิม

บทสรุป

เงินบาทที่แข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี ไม่ได้เป็นผลจากความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยโดยตรง แต่สะท้อนถึง การอ่อนค่าของดอลลาร์ฯ อันเป็นผลจากนโยบายการเงิน การเมืองการคลัง และความไม่แน่นอนภายในสหรัฐฯ มากกว่า

สิ่งที่ประเทศไทยต้องคิด จึงไม่ใช่เพียงการอธิบายว่า “ทำไมบาทถึงแข็ง” แต่ต้องถามต่อว่า เราจะอยู่กับเงินบาทที่แข็งได้อย่างไร และ ธนาคารกลางจะรักษาสมดุลของเสถียรภาพค่าเงินในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ได้อย่างไร

ท้ายที่สุด ค่าเงินบาทจึงไม่ใช่แค่ “ตัวเลข” ที่เราต้องรับมันไป หากแต่เป็น กระจกสะท้อนความท้าทายใหม่ของเศรษฐกิจไทย ในโลกที่ซับซ้อนกว่าที่เคย