บริษัทสหรัฐฯ เบนเป้าลงทุนออกจากจีนทุบสถิติ เลือกอาเซียนเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่

บริษัทสหรัฐฯ เบนเป้าลงทุนออกจากจีนทุบสถิติ เลือกอาเซียนเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่

หอการค้าอเมริกันประจำนครเซี่ยงไฮ้ (AmCham Shanghai) ของจีน เปิดเผยว่า บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ เกือบครึ่งหนึ่งในผลสำรวจเบนแผนการลงทุนที่เคยตั้งไว้ในจีน ไปยังภูมิภาคอื่นในรอบปีที่ผ่านมา ทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยมีอาเซียนขึ้นแท่นเป็นเป้าหมายการลงทุนแห่งใหม่

ผลสำรวจดังกล่าว มีขึ้นหลังความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทวีความรุนแรงขึ้น แม้จะผ่อนปรนภาษีบางส่วนชั่วคราว ตั้งแต่กลางเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา และทั้ง 2 ประเทศตกลงขยายเวลาสงบศึกทางการค้าออกไป 90 วันจนถึงกลางเดือนพ.ย. โดย เอริก เจิ้ง ประธาน AmCham Shanghai ระบุว่า “สำหรับบริษัทต่างๆ แล้ว ระยะเวลา 90 วัน ถือว่า สั้นเกินไป เพราะการวางแผนห่วงโซ่อุปทานต้องมองระยะยาว แม้ตอนนี้จะยังไม่ต้องเจอกับการปรับขึ้นภาษีที่สูงขึ้น แต่ปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์”

ผลการสำรวจที่จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 19 พ.ค. – 20 มิ.ย. ชี้ว่า 47% ของผู้ตอบแบบสอบถาม เบนเป้าการลงทุนจากจีนไปยังชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มสำรวจในปี 2017 รองลงมา คือ อนุทวีปอินเดีย (รวมถึงบังกลาเทศ) ส่วนสหรัฐฯ และเม็กซิโก ครองอันดับ 3 ร่วมกัน โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามกระตุ้นให้บริษัทสหรัฐฯ นำการผลิตกลับประเทศ พร้อมวิจารณ์ Apple ที่ขยายฐานการผลิตในอินเดีย แม้จะมีบางบริษัท โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ที่ประกาศลงทุนในสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการก็ตาม

สมาชิก AmCham Shanghai ประกอบด้วย Apple, Ford, Honeywell, Meta และ Tesla โดยเจฟฟรีย์ เลห์แมน ประธานบอร์ดของ AmCham Shanghai ชี้ว่า บริษัทเหล่านี้ ได้รับผลกระทบหลายอย่าง ไม่เพียงแต่ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อจีน แต่ยังรวมถึงมาตรการตอบโต้ของจีนด้วย เนื่องจากวัตถุดิบบางส่วน ก็ต้องนำเข้ามาจากสหรัฐฯ

ข้อมูลจาก Peterson Institute for International Economics ระบุว่า ปัจจุบันสหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าจีน เฉลี่ยเกือบ 58% ขณะที่ จีนเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ราว 33%  โดยขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามราว 65% ยอมรับว่า มาตรการภาษีเหล่านี้ สร้างผลกระทบเชิงลบอย่างมาก โดยเฉพาะบริษัทด้านการผลิต ขณะที่ การแข่งขันในตลาดจีน ยังคงทวีความรุนแรงขึ้น และความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มธุรกิจในระยะ 5 ปีข้างหน้า ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4

มีเพียง 28% ที่ระบุว่า กำไรจากการดำเนินงานในจีนปี 2024 สูงกว่าธุรกิจในประเทศอื่น ในขณะที่ 33% ชี้ว่า ผลประกอบการในจีนแย่กว่าค่าเฉลี่ยโลก นอกจากนี้ บริษัทสหรัฐฯ ยังมองว่า คู่แข่งจีน มีความก้าวหน้ากว่า 6 จาก 8 ด้าน โดยเฉพาะ “ความรวดเร็วสู่ตลาด” และ “การนำ AI มาใช้” ซึ่ง 41% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่า บริษัทจีนล้ำหน้ากว่าในด้าน AI และตัวเลขนี้เพิ่มสูงถึง 62% เมื่อดูเฉพาะอุตสาหกรรมค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภค

ทั้งนี้ AmCham Shanghai ระบุว่า บริษัทสหรัฐฯ เหนือกว่าคู่แข่งสัญชาติจีนอย่างเด่นชัด เพียงด้านคุณภาพของสินค้าและการพัฒนา

ด้านสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ แม้ความตึงเครียดทางการค้าและความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว จะกดดันแนวโน้มระยะสั้น แต่ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า มีการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ โดย 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบมีความโปร่งใสมากขึ้น เพิ่มขึ้นจาก 35% ในปี 2024 ขณะที่ สัดส่วนผู้ที่มองว่าความไม่โปร่งใสเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงาน ลดลง 12 จุด มาอยู่ที่ 16%

ส่วนผู้ที่เห็นว่า บริษัทต่างชาติและท้องถิ่นได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกัน เพิ่มขึ้นเป็น 37% จาก 32%

ที่มา: CNBC , สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย