บรรดาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทองคำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนกำลังเฟื่องฟู ตั้งแต่การเปิดตัวทองคำแท่งลายสิงโตในสิงคโปร์ ไปจนถึงโครงการเหมืองทองขนาดใหญ่ในอินโดนีเซีย ขานรับราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สัญญาทองคำล่วงหน้าสหรัฐฯ พุ่งแตะระดับ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์เป็นครั้งแรก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นเกือบ 50% นับตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก โดยแรงซื้อทองคำที่เพิ่มขึ้น ช่วยหนุนให้โรงกษาปณ์สิงคโปร์ (Singapore Mint) ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจในเครือ Sembcorp Industries เปิดตัวทองคำแท่ง “Lion Bullion” เมื่อเดือนที่แล้ว โดยใช้สัญลักษณ์หัวสิงโตอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทองคำแท่งดังกล่าว มีขนาดตั้งแต่ 1 กรัม ไปจนถึง 1 กิโลกรัม พร้อมหมายเลขกำกับเฉพาะและเก็บข้อมูลผ่านการลงทะเบียนดิจิทัล โดยผู้ซื้อสามารถเก็บทองไว้ในตู้นิรภัยที่ปลอดภัยและทำการซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ได้
นอกจากนี้ โครงการที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตทองคำในช่วงต้นน้ำเกิดขึ้นตามมา แม้ว่า ต้นทุนการทำเหมืองจะสูงขึ้นก็ตาม เนื่องมาจากค่าแรงและค่าพลังงาน โดยในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่อันดับ 8 ของโลก การดำเนินงานในเหมืองทองขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ได้เริ่มต้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในชื่อโครงการ “Pani Gold Project” ในจังหวัดสุลาเวสีเหนือ ซึ่งตั้งเป้าผลิตทองคำราว 140,000 ออนซ์ต่อปี จากกำลังการแปรรูปสินแร่ 7 ล้านตัน และในระยะต่อไป
ด้านบริษัท Merdeka Copper Gold ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่ วางแผนจะสร้างโรงงานเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการสกัด โดยคาดว่า ภายในปี 2030 กำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 12 ล้านตันต่อปี และมีศักยภาพในการผลิตทองคำสูงสุดถึง 500,000 ออนซ์ต่อปี นอกจากนี้ บริษัทเหมืองทองของรัฐ Aneka Tambang กำลังพิจารณาซื้อที่ดินในพื้นที่ที่มีแหล่งแร่ทองอีก 3 แห่ง รวมถึงในสุมาตราเหนือและชวาตะวันออก เพื่อขยายฐานการผลิตจากเหมืองหลักในโบกอร์ จังหวัดชวาตะวันตก ซึ่งมีกำลังผลิตปีละราว 1 ตันในปัจจุบัน และในอีกโครงการหนึ่ง ธนาคารอิสลามแห่งอินโดนีเซีย (Bank Syariah Indonesia) ได้จับมือกับผู้ผลิตทองคำ Hartadinata Abadi เปิดตัวทองคำแท่งพิเศษแบบผ่อนชำระได้ตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา
ขณะที่ ทางตอนเหนือของประเทศไทย บริษัทเหมืองทองจากออสเตรเลีย Kingsgate Consolidated ตั้งเป้าผลิตทองคำ 85,000–95,000 ออนซ์ในปีงบประมาณสิ้นสุดในเดือนมิ.ย. 2026 เพิ่มจาก 75,000 ออนซ์ในปีก่อนหน้า โดยซีอีโอ ระบุว่า บริษัทคาดหวังจะเพิ่มการผลิตให้ได้มากกว่า 100,000 ออนซ์ต่อปีอย่างต่อเนื่องในอนาคต
ทั้งนี้ จีนและอินเดียยังคงเป็น 2 ประเทศที่บริโภคทองคำมากที่สุดในโลก แต่ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่า ความต้องการทองคำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
รายงานของสภาทองคำโลก (World Gold Council – WGC) ระบุว่า การลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญในไทยเพิ่มขึ้น 38% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2024 ตามมาด้วย สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 37% อินโดนีเซีย 29% และมาเลเซีย 25% ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้นเพียง 11% เท่านั้น
ความต้องการทองคำทั่วโลกเพิ่มขึ้น 10% ในไตรมาส 2 สู่ระดับ 1,079 ตัน จากแรงซื้อเพื่อการลงทุน แม้ความต้องการในภาคเครื่องประดับและอุตสาหกรรมจะลดลง
ที่มา: Nikkei Asia, สำกข่าวอีไฟแนนซ์ไทย